วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ล้างพิษลำไส้ใหญ่ กากใยอาหารจากธรรมชาติช่วยคุณได้

ธรรมชาติได้สร้างให้ร่างกายมนุษย์มีระบบล้างพิษตามธรรมชาติที่ดีที่สุด


ปัจจุบันคำว่า ล้างพิษ กลายเป็นหนึ่งในหัวข้อที่หลายคนติดตามและสนใจเป็นพิเศษ ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากสภาพแวดล้อม ทำให้พฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงไปจึงพยายามหาแนวทางที่จะคืนความสดชื่นและการมีสุขภาพที่ดีให้แก่ร่างกายให้เร็วที่สุด อันเป็นที่มาของกระแสการล้างพิษ ที่แบ่งออกเป็นวิธีล้างพิษแบบธรรมชาติโดยการกินผักและผลไม้เพื่อให้ได้กากใยมากๆ และวิธีล้างพิษแบบฝืนธรรมชาติอย่างการกินยาระบายหรือสวนล้างลำไส้ใหญ่ ซึ่งเป็นวิธีที่ยังไม่มีการยืนยันทางการแพทย์ว่าปลอดภัย และได้ประโยชน์ต่อสุขภาพจริงๆ

จากกระบวนการทำงานของตับ ไตและลำไส้ โดยเฉพาะลำไส้ใหญ่ที่มีหน้าที่กำจัดของเสียจากอาหารที่เรากินเข้าไปด้วยการขับถ่ายอุจจาระทุกวัน และสิ่งสำคัญที่จะเสริมให้การล้างพิษตามธรรมชาติของลำไส้ใหญ่มีประสิทธิภาพคือ เส้นใยอาหาร ที่ร่างกายได้รับจากการกินอาหารประเภทข้าวกล้อง ธัญพืช โฮลวีท ข้าวโอ๊ต ถั่ว ผักและผลไม้ เป็นต้น

แต่ในความเป็นจริง หลายคนอาจกินไม่ได้ตามที่ร่างกายต้องการทุกวัน ทำให้เกิดปัญหาท้องผูก เกิดของเสียหมักหมมในลำไส้ใหญ่ และถ้าเป็นเรื้อรัง ก็เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก ทั้งนี้เพื่อความสะดวกและรวดเร็ว หลายคนพึ่งวิธีการกินยาระบายและการสวนล้างลำไส้ใหญ่ ซึ่งอาจจะเป็นการทำลายจุลินทรีย์ชนิดดีที่อยู่ในผนังลำไส้ใหญ่ ที่ทำหน้าที่คุ้มครองและช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ชนิดที่ก่อให้เกิดโรค ดังนั้นหากสวนล้างลำไส้ใหญ่บ่อยเกินไปเท่ากับว่า เรากำจัดจุลินทรีย์ชนิดดีนั้นออกไปด้วย ผลก็คือ จะทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อง่ายขึ้น และทำให้สูญเสียสมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย สรุปว่าอาจเป็นทางเลือกที่เร็วและเห็นผลทันที แต่ไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพในระยะยาว

ดังนั้นการล้างพิษด้วยการกินเส้นใยอาหารจากผักและผลไม้ หรือสำหรับคนที่มีปัญหาการกินผักและผลไม้ อาจเลือกผลิตภัณฑ์เส้นใยอาหารธรรมชาติที่มีการแปรรูปและสะดวกต่อการกิน ยกตัวอย่างเช่น เส้นใยอาหารที่ได้จากเมล็ดและเปลือกแพลนตาโก้ ในรูปแกรนูลซึ่งสามารถพองตัวในลำไส้ใหญ่ได้ถึง 7 เท่า เพิ่มปริมาณกากอาหารเป็นก้อนในลำไส้ใหญ่ ทำให้ลำไส้ใหญ่เคลื่อนไหว เพิ่มประสิทธิภาพในการทำความสะอาดลำไส้ใหญ่ ลดปริมาณสิ่งหมักหมมในลำไส้ใหญ่ เป็นการล้างพิษลำไส้ใหญ่โดยวิธีธรรมชาติ จะส่งผลดีต่อสุขภาพองค์รวมมากกว่า เพราะได้เส้นใยอาหารที่มีประโยชน์ถึง 2 ชนิด นั่นคือ เส้นใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำ (water insoluble fiber) และเส้นใยอาหารที่ละลายน้ำ (water soluble fiber) ซึ่งควรได้รับอัตราส่วนที่เหมาะสมคือ 60:40 เนื่องจาก...

เส้นใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำ จะพองตัวและอุ้มน้ำไว้ได้มากกว่าปริมาตรของตัวเองหลายเท่า ช่วยเพิ่มปริมาตรกากอาหารในลำไส้ ไม่ให้อุจจาระแห้งและแข็ง ทำให้ขับถ่ายได้ง่ายและสบายขึ้น ไม่มีสิ่งหมักหมมค้างในลำไส้ใหญ่

เส้นใยอาหารที่ละลายน้ำ จะถูกย่อยสลายโดยแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่อย่างช้าๆ ทำให้เกิดกรดไขมันชนิดสายสั้น (Short-chain fatty acid) ได้แก่ อะซิเตท โพรพิโอเนท และบิวทีเรท ซึ่งสารบิวทีเรทจะทำให้ค่า pH ในลำไส้ลดลงต่ำ มีผลในการยับยั้งการเจริญเติบโตของ จุลินทรีย์ชนิดที่ก่อให้เกิดโรคและลดโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่

สรุปแล้ว การล้างพิษที่ดีที่สุด คือ การล้างพิษตามธรรมชาติจากการกินอาหารที่สด ปรุงสะอาดมีกากใยสูงและมีคุณค่าต่อร่างกาย ควบคู่กับการดื่มน้ำ 6-8 แก้วต่อวัน การออกกำลังกาย การนอนหลับพักผ่อนและทำจิตใจแจ่มใส และอาจใช้ผลิตภัณฑ์เส้นใยอาหารธรรมชาติเสริม ในกรณีที่รับประทานอาหารที่มีเส้นใยน้อย

ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

สวยใสจากภายใน ด้วย 4 อาหารผิว

Antiaging Medicine หรือ การรับประทานอาหารที่มีสารต่อต้านริ้วรอย ชะลอวัย กำลังมาแรง


Antiaging Medicine หรือ การรับประทานอาหารที่มีสารต่อต้านริ้วรอย ชะลอวัย กำลังมาแรง ทั้งในประเทศอเมริกา ยุโรป และเอเชีย ส่วนใหญ่สารอาหาร ดังกล่าวจะคัดสรร สกัดจากวัตถุดิบธรรมชาติ การเลือกรับประทานผัก ผลไม้ และอาหารเสริม ที่มีส่วนผสมของสารต่อต้านความชราจึงเป็นอีกทางเลือกของความสวยที่เราสามารถทำได้ด้วยตัวเอง ไม่มีคำว่าช้าเกินไป แต่ใครเริ่มเร็วกว่าก็ยิ่งยืดความอ่อนเยาว์ให้ตัวเองได้ยาวนานกว่า และนี่คือสารอาหารที่จะช่วยคงความงามแห่งผิวพรรณจากภายใน สู่ภายนอก ที่เราขอแนะนำ
Niacin / Vitamin B3ไนอาซินหรือวิตามินบี 3 เป็นวิตามินตัวเดียวที่ร่างกายสังเคราะห์ได้จากกรดอะมิโน ช่วยบำรุงสมองและประสาท รักษาสุขภาพของผิวหนัง ลิ้น และเนื้อเยื่อของระบบย่อยอาหาร จำเป็นสำหรับการสังเคราะห์ฮอร์โมนเพศ และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ไนอาซินมีในอาหารทั่วไปที่ได้จากสัตว์และพืช แหล่งที่มีมากคือ เนื้อสัตว์, เนื้อปลา, ถั่ว, ข้าว, เครื่องในสัตว์ แหล่งที่มีปานกลางได้แก่ มันฝรั่ง, ธัญพืช, แหล่งที่มีน้อยคือ น้ำนม, ไข่, ผัก และผลไม้

วิตามินเอ วิตามินเอ มีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ เรตินอยด์ (Retinoids) และแคโรทีนอยด์ (Carotenoids) วิตามินเอเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งจะช่วยในเรื่องการป้องกันการเสื่อมอายุของผิวหนัง การซ่อมแซมผิวหนังที่เสียไป นอกจากนี้วิตามินเอยังมีความสำคัญต่อกระบวนการเติบโตของผิวหนัง และเป็นสารสำคัญที่ช่วยทำให้ผิวหนังมีการทำงานอย่างปกติ นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันมะเร็งและเสริมสุขภาพตา แหล่งอาหารที่พบคือ ไข่, นม, เนย, ปลาแซลมอน, ปลา Halibut, ผักใบเขียว เช่น บร็อกโคลี, ผักโขม, แอสพารากัส, มะละกอ, แคนตาลูป, มะเขือเทศ, ฟักทอง

วิตามินบี-คอมเพล็กซ์ วิตามินในกลุ่มนี้ มีความสำคัญต่อสุขภาพผิวหนังเป็นอย่างมาก ช่วยในกระบวนการผลิตพลังงานภายในเซลล์ เช่น วิตามินบี 2 ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ วิตามินบี 3 ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และทำให้ผิวหนังไม่ซีด วิตามินบี 12 ช่วยในการแบ่งเซลล์ วิตามินบี 9 ช่วยในเรื่องการแบ่งและเจริญเติบโตของเซลล์ นอกจากนี้
กรดโฟลิกยังช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง แหล่งอาหารที่พบมากคือ บร็อกโคลี, มันฝรั่ง, เห็ด, แครอท, มะเขือเทศ, กะหล่ำปลี, ผักโขม, กล้วย, แอปเปิ้ล, มะเขือ, ผลไม้ในกลุ่มส้ม, ไข่, เนื้อไก่, เนื้อปลาแซลมอน และปลาทูน่า

Vitamin C วิตามินซีเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยในการสังเคราะห์และช่วยกระตุ้น การสร้างคอลลาเจน ทั้งนี้คอลลาเจนจะไม่สามารถทำงานได้หากขาดวิตามินซี นอกจากนี้วิตามินซียังมีส่วนช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว และชะลอการเกิดริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ การใส่ใจดูแลตัวเองด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่สม่ำเสมอ นับเป็นหนึ่งในเคล็ดลับความงามที่พูดง่ายแต่ทำยาก แต่ WP ก็เชื่อว่า ถ้าเรามีความตั้งใจจริงก็สามารถสร้างสรรค์ตัวเองให้ดูสวยอ่อนเยาว์ได้โดยไม่ต้องพึ่งเทคนิคศัลยกรรม ยิ่งโดยเฉพาะในยุคนี้ มีอาหารเสริมวิตามินรสชาติอร่อยมากมายมาให้เลือกเป็นทางลัดด้วยแล้ว ยิ่งสบาย งั้นเรามาเริ่มกแนและดื่มเพื่อผิวพรรณกันตั้งแต่นี้เลย...ดีไหม

ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Women Plus

วันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ช็อกโกแลต ซีสต์ ปวดท้องประจำเดือน

ภัยเสี่ยงหญิงตัดมดลูกทิ้ง...มีบุตรยาก!!!


ผู้หญิงเมื่อประจำเดือนมาทีไร หลายคนมัก มีอาการปวดท้องร่วมด้วยเสมอ แต่หากปวดมากและบ่อยครั้งขึ้น พึงระวัง...อาจเป็น ช็อกโกแลต ซีสต์ ได้!

นพ.อุดมศักดิ์ ศรีแสงนาม ผู้เชี่ยวชาญด้านสูติ-นรีเวช โรงพยาบาลบางปะกอก 9 อินเตอร์ เล่าถึงการเกิดของโรคช็อกโกแลต ซีสต์ ให้ฟังว่า โดยปกติในระหว่างรอบประจำเดือน เยื่อบุมดลูกจะมีการเปลี่ยนแปลง คือ ใน 1 รอบประจำเดือน จะยาวประมาณ 28 วัน ซึ่งอาจสั้น หรือยาวกว่านี้
ในแต่ละบุคคล โดยนับวันที่ประจำเดือนหมด คือ ประมาณวันที่ 5 รังไข่จะผลิตฮอร์โมนเพศสตรีมากระตุ้นเยื่อบุมดลูกให้เจริญและหนาตัวขึ้น มีเส้นเลือดนำอาหารมาเลี้ยงมากขึ้นเพื่อเตรียมรับการตั้งครรภ์ ประมาณวันที่ 14 ของรอบเดือน เยื่อบุมดลูกจะหนากว่าระยะเริ่มต้นถึง 10 เท่า และช่วงนี้จะมีการตกไข่ ไข่จะถูกจับเข้าไปในท่อนำไข่ และถ้าได้ปฏิสนธิ กับเชื้ออสุจิ จะเคลื่อนเข้าไปในมดลูกและฝังตัวอยู่ในเยื่อบุมดลูก ถ้าไข่ไม่ได้รับการปฏิสนธิ จะสลายตัวไป ระดับฮอร์โมนก็จะลดลงโดยมีการลอกหลุดตัวของเยื่อบุมดลูกกลายเป็นประจำเดือนออกมาประมาณวันที่ 28 ของรอบเดือนแล้วก็เริ่มต้นรอบเดือนใหม่เช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ในทุก ๆ เดือน
แต่สำหรับโรคนี้ เมื่อผู้หญิงมีประจำเดือน ที่เยื่อบุโพรงมดลูกซึ่งจะมีลักษณะเป็นถุงน้ำที่ภายในมีเลือดเคลื่อนตัวออกจากโพรงมดลูกหลุดไปติดตามท่อนำไข่ แล้วไปเจริญเติบโตในอวัยวะต่าง ๆ เช่น อุ้งเชิงกราน ท่อรังไข่ ลำไส้ ช่องคลอด มดลูก กระเพาะปัสสาวะ โดยหากมารวมอยู่ที่ รังไข่จะเรียกว่า ช็อกโกแลต ซีสต์ มีลักษณะเป็นก้อนกลม ๆ เหมือนช็อกโกแลตซึ่งเป็นเลือดเก่า แทนที่จะออกมาทางช่องคลอดตามปกติ โรคนี้ทางการแพทย์เรียกว่า เยื่อบุโพรงมดลูกขึ้นผิดที่ (Endometriosis)
มีอาการปวดท้องน้อยเรื้อรังเมื่อมีประจำเดือน โดยจะปวดด้านหน้า ตั้งแต่สะดือไปถึงอุ้งเชิงกราน ส่วนด้านหลังตั้งแต่บั้นเอวไปถึงก้นกบ บางคนปวดมาก บางคนปวดน้อยปรากฏการณ์นี้จะเป็นเช่นนี้ทุก ๆ เดือนและเกิดปฏิกิริยาขึ้นทุกครั้งที่มีเลือดออกพร้อมกับการมีประจำเดือน ทำให้มีเยื่อพังผืดหนาตัวขึ้นเรื่อย ๆ ในอุ้งเชิงกราน บางครั้งถุงเลือดที่มีอยู่เดิมแตกออกมา ทำให้เลือดและเยื่อบุมดลูกกระจายไปเจริญขึ้นในที่อื่น ทำให้เพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ การมีพังผืดตามอวัยวะต่าง ๆ มากเช่นนี้เป็นผลให้การตกไข่ออกจากรังไข่ไปไม่ดีหรือไปไม่ได้ และท่อนำไข่ก็ไม่สามารถทำงานในการจับไข่เข้าไปได้ เพราะมีการยึดรั้งจากพังผืดหรือทำให้ ท่อนำไข่ตีบตันเป็นสาเหตุสำคัญของการมีบุตรยาก
สิ่งที่จะบ่งชี้ว่าอาการปวดดังกล่าวเป็นอาการปวดท้องธรรมดาหรือเป็นอาการปวดของโรคนี้ คือ อายุ โดยจะพบมากในสตรีที่มีอายุ 30-40 ปี หรือวัยก่อนหมดประจำเดือน ในกรณีที่ไม่เคยปวดมาก่อน แต่พออายุ 30 ปีขึ้นไปแล้วกลับมีอาการปวดและปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ ในแต่ละเดือน สันนิษฐานได้ว่าอาจปวดจากเยื่อบุโพรงมดลูกขึ้นผิดที่ได้ ฉะนั้น เยื่อบุโพรงมดลูกขึ้นผิดที่จะเกิดขึ้นกับผู้ที่มีประจำเดือนเท่านั้น โดยก่อนวัยมีประจำเดือนหรือวัยหมดประจำเดือนจะไม่พบโรคนี้ เนื่องจากเป็นโรคที่ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด ส่วนมากเป็นทางกรรมพันธุ์ พบประวัติว่า มารดา พี่ น้อง เป็นโรคนี้ แต่โชคดี คือ มีเพียง 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่จะกลายเป็นเนื้อร้าย วิธีบรรเทาอาการปวดจึงรักษาตามอาการ หากมีอาการปวดเพียงเล็กน้อยจะประคบด้วยน้ำร้อน ปวดกลาง ๆ แต่ทนได้ให้ทานยาแก้ปวด ถ้าปวดมากต้องใช้ยาเฉพาะทาน พบว่า ประมาณร้อยละ 43 ผู้ป่วยจะมาพบแพทย์หลัง มีอาการประมาณ 1 ปี
การตรวจร่างกายมักไม่พบความผิดปกติ ที่ชัดเจน หลังการตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงหรือการทำอัลตราซาวด์ อาจจะพบถุงน้ำที่รังไข่ ในบางครั้งอาจต้องใช้วิธีตรวจโดยการใช้กล้องส่องเข้าไปในช่องท้อง กรณีถุงน้ำที่รังไข่มีขนาดเล็กอาจจะให้การรักษาด้วยยา ร้อยละ 60 ที่รักษาด้วยยาไม่ดีขึ้นต้องผ่าตัด
จากการศึกษาพบว่า การรักษาอาการปวดที่เกิดจากภาวะช็อกโกแลต ซีสต์ แพทย์นิยมให้ผู้ป่วยฉีดยาคุมกำเนิดทุก 3 เดือน เป็นเวลา 12 เดือน หรือให้ทานยาเม็ดคุมกำเนิดฮอร์โมนต่ำ พบว่า ทั้งสองวิธีได้ผลสามารถทำให้ขนาดของช็อกโกแลต ซีสต์ลดลง ภาวะของโรคช็อกโกแลต ซีสต์ ไม่เพียงแต่จะก่อให้เกิดอาการปวดทุกครั้งเมื่อมีประจำเดือน ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีความสุข หากปล่อยทิ้งระยะเวลาไว้นานอาจทำให้เกิดการสร้างเยื่อพังผืดขึ้นมาล้อมรอบ ยิ่งถ้าเป็นบริเวณลำไส้ใหญ่จะทำให้ผ่าตัดได้ยาก เนื่องจากขณะทำการผ่าตัดเอาพังผืดออกอาจทำให้มีโอกาสทะลุไปโดนลำไส้ใหญ่ได้จำต้องผ่าตัดเพื่อเย็บลำไส้ซ้ำอีกครั้ง นพ.อุดมศักดิ์ กล่าวว่า สตรีที่เป็นโรคนี้จะมีภาวะมีบุตรยากขึ้นกว่าคนไม่เป็นโรค บางรายแพทย์ตรวจพบโรคนี้จากการตรวจหาสาเหตุของการ ไม่มีบุตร เมื่อทำการรักษาหรือผ่าตัดช็อกโกแลต ซีสต์ออกไปแล้วอาจทำให้มีลูกได้ แต่ไม่ 100 เปอร์เซ็นต์ เพียงแต่มีโอกาสเพิ่มมากขึ้น
ถ้าเป็นแล้วไม่ต้องกลัว สามารถรักษาได้ แม้จะไม่หาย ขาดมีโอกาสกลับมาเป็นใหม่ได้อีก แต่ไม่ควรประมาท เพราะ ถ้าปล่อยให้เป็นมาก ๆ อาจถึงขั้นต้องตัดมดลูกทิ้ง ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำใจลำบากในผู้ป่วยบางราย จึงควรหมั่นดูแลสุขภาพ เช็กร่างกายตนเองอย่างสม่ำเสมอ เมื่อมีความผิดปกติเกิดขึ้นจะได้รักษาแก้ไขได้ทัน เมื่อมีอาการปวดในระหว่างมีประจำเดือนอย่าชะล่าใจ...หากอาการปวดนั้นทวีขึ้นเรื่อย ๆ ทุกเดือน!!.

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ประโยชน์ของส้ม

ทราบหรือไม่ว่า การกินส้มให้ประโยชน์อย่างไรต่อร่างกาย วันนี้เรามีประโยชน์ของส้มมาฝากกัน


จากรายงานการศึกษาของหลายชาติ เรื่องการบริโภคผลไม้จำพวกมะนาว หรือส้ม ให้ประโยชน์แก่สุขภาพ สรุปได้ว่า "กินส้มวันละใบ จะช่วยผลักไสโรคมะเร็งบางชนิดให้พ้นตัวไปได้" นักวิจัยขององค์การวิจัยวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมเครือจักรภพของรัฐบาลออสเตรเลีย ระบุว่า การกินผลไม้พวกมะนาวหรือส้ม จะช่วยป้องกันมะเร็งที่ปาก กล่องเสียง และกระเพาะลงได้ครึ่งหนึ่ง และยิ่งกินผักผลไม้วันละ 5 มื้ออยู่เป็นประจำแล้ว ก็จะยิ่งช่วยให้ป้องกันอัมพาตได้อีกโรคถึง 19 เปอร์เซ็นต์ด้วย ผลไม้จำพวกมะนาวหรือส้ม ช่วยป้องกันโรคของร่างกายได้เพราะคุณสมบัติเป็นตัวล้างพิษของมัน พร้อมทั้งบำรุงระบบภูมิ คุ้มโรคให้แข็งแรง ขัดขวางเนื้อร้ายไม่ให้ลุกลาม และรักษาเซลล์เนื้อร้ายให้กลับคืนดีได้อีกด้วย รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าอยากมีสุขภาพแข็งแรง ลองหาส้มมากินกันดีกว่า.

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

การเลือกซื้อเสื้อชั้นใน

ใครที่กำลังจะซื้อเสื้อชั้นในใหม่ วันนี้เรามีเคล็ดลับในการเลือกซื้อมาฝาก...

ใครที่กำลังจะซื้อเสื้อชั้นในใหม่ วันนี้เรามีเคล็ดลับในการเลือกซื้อมาฝาก


ลองเสื้อชั้นในก่อนซื้อทุกครั้ง เลือกตัวที่กระชับพอดี และอย่าซื้อเสื้อชั้นในเพียงบอกไซส์ เพราะแต่ละแบบ แต่ละทรง จะออกแบบมาไม่เท่ากัน หรือไม่เหมาะกับทุกคน

การเลือกซื้อเสื้อชั้นในช่วง 1 สัปดาห์ก่อนมีประจำเดือน อาจจะได้ขนาดที่ใหญ่กว่าปกติ
เสื้อชั้นในที่พอดี ระดับตะขอ (หลัง) ควรอยู่ใต้กระดูกสะบักหลัง ถ้าสูงหรือต่ำลงมาควรเลือกขนาดใหม่

- หากสวมเสื้อชั้นในแล้วไม่สามารถสอดนิ้วเข้าไปในร่องอกได้ แสดงว่าเสื้อตัวนั้นคับเกินไป
หากมีรอบอกระหว่าง 34-48 นิ้ว ควรเลือกซื้อชนิดที่มีฐานใต้โครงอก และเสื้อชั้นในแบบตะขอหน้า จะทำให้หน้าอกได้รูปสวย

สุดท้ายเลือกเสื้อชั้นในที่มีเนื้อนุ่ม ยืดหยุ่นสบาย
ครั้งหน้าถ้าจะซื้อเสื้อชั้นใหม่ อย่าลืมนำวิธีที่แนะนำไปเลือกซื้อเสื้อชั้นในให้ถูกใจกันได้.

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

17 วิธี Refresh สุขภาพแบบฮอต ฮอต

17 ข้อที่เราอยากให้คุณอ่าน เพราะมันมีประโยชน์มากกว่าที่คิด


อุณหภูมิ และสภาพอากาศในช่วงฤดูร้อนส่งผลกระทบต่อสุขภาพมากกว่าที่เราเคยคาดคิด และนี่คือความจริงรวมทั้งวิธีรักษาสุขภาพ อัพเดทสุขภาพกับ 17 ความรู้ HOT HOT
1. ป้องกันอาการขาดน้ำด้วยการดื่มน้ำเปล่าที่สุกแล้ว หรือแบบปรุงแต่งด้วยน้ำตาล เกลือแร่ สมุนไพร เยอะๆ เพราะหน้าร้อนร่างกายภายในจะมีอุณหภูมิสูง และขับเหงื่อออกมามาก จนอาจทำให้คุณช็อกหมดสติ

2. หลีกเลี่ยงน้ำแข็งหรือน้ำเย็นจัด เพราะอาจทำให้อุณหภูมิในร่างกายเปลี่ยนแปลงเร็วจนไม่สบาย
3. ไม่ควรนอนให้ลมหรือความเย็นโกรก ความร้อนจากแดดทำให้เสียเหงื่อ เสียพลัง เมื่อนอนหลับตากลมในขณะเหงื่อออก จะทำให้อุณหภูมิร่างกายลดต่ำลง ถ้าอุณหภูมิภายนอกยังสูงอยู่ แล้วเหงื่อไม่สามารถระบายออกมาได้ จะมีความร้อนสะสมอยู่ข้างใน ทำให้เวียนหัว รู้สึกหนักหัว ไม่สดชื่นแจ่มใส อาจทำให้เป็นหวัดได้
4. อย่างดอาหารเช้า เพราะร่างกายต้องการอาหารเพื่อกระตุ้นระบบเผาผลาญ ซึ่งจะช่วยควบคุมน้ำหนัก ควรหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกแป้ง ของทอด ของมัน
5. หญิงตั้งครรภ์ ต้องสวมเสื้อผ้าที่มิดชิด เพื่อป้องกันการกระทบกับความเย็น อาหารที่กินต้องสะอาด ไม่ควรนอนบนสื่อที่เย็น และห่มผ้าคลุมกายเสมอ ระวังอย่าให้เป็นหวัด ห้ามอาบน้ำร้อนจัดหรือเย็นจัดจนเกินไป
6. คนสูงอายุมักมีระบบย่อยที่ไม่ดี และคนที่มีม้ามบกพร่อง ถ้าดื่มน้ำเย็นมากเกินไป จะเกิดความชื้นสะสมในร่างกาย ทำให้ท้องเสีย ติดเชื้อราง่าย ขี้หนาว ปวดหัว ตัวร้อน
7. เลือกครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของ Mexoryl และ Tinosorb เพราะสามารถกรองรังสียูวีเอและยูวีบี ได้ดี เช่น Vichy, Nivea และ Ambre Solaire จาก Garnier
8. หากผิวแสบร้อนจากการโดนแดด บรรเทาได้ด้วยการกินยาแอสไพริน แล้วแช่ตัวในอ่างน้ำอุณหภูมิห้อง ผสม Bath Oil จากนั้นบำรุงผิวด้วยโลชั่นที่มีส่วนผสมของว่านหางจระเข้ และหลีกเลี่ยงแดดในวันถัดไป
9. ทำสเปรย์บรรเทาผิวไหม้เกรียมอย่างง่ายๆ ด้วย น้ำกรองบริสุทธิ์ 2 ออนซ์ ใส่เอสเซนเชียลออยล์กลิ่นลาเวนเดอร์ 9 หยด กลิ่นเปปเปอร์มินต์ 2 หยด และสเปียร์มินต์ 1 หยด ผสมรวมกันแล้วใส่ในขวดสเปรย์ พกติดตัวและฉีดพรมเมื่อมีอาการ
10. เลือกเครื่องสำอางแบบครีม ที่มีเนื้อแห้งเหมือนแป้ง หากหน้ามันปัดทับด้วยบรอนเซอร์หรือแป้งฝุ่น
11. ควรเลือกใส่เสื้อผ้าเนื้อเบาสบาย ระบายอากาศได้ดีอย่างผ้าฝ้ายธรรมชาติ ที่หลวม ไม่กระชับตัว
12. หลีกเลี่ยงอาหารที่ให้น้ำตาลสูง อย่างอาหารจำพวกแป้ง คาร์โบไฮเดรต และผลไม้รสหวานจัด เพื่อควบคุมระดับพลังงานที่มากเกินไปจนส่งผลต่ออุณหภูมิสูงจากภายในของร่างกาย
13. ป้องกันแมลงกัดต่อยซึ่งมีชุกชุมในฤดูร้อน ด้วยการเลือกทาผลิตภัณฑ์ที่สกัดจากพืชสมุนไพรธรรมชาติ
14. เลือกแว่นกันแดดขนาดใหญ่ที่ให้การปกปิดมิดชิด กระชับใบหน้า เพื่อป้องกันรังสียูวีบีจากการเกิดต้อกระจกในดวงตา และผิวไหม้เกรียม ริ้วรอยรอบดวงตา
15. อย่าเข้าใจผิดว่ายิ่งเข้มยิ่งดี สีของเลนส์ในแว่นกันแดดไม่ได้ช่วยในการปกป้องรังสี เพราะประสิทธิภาพสำคัญเกิดจากสารเคมีที่เคลือบเพื่อสะท้อนรังสี
16. คอนแทคเลนส์ไม่ช่วยอะไร โดยเฉพาะรุ่นที่เคลมว่าสามารถดูดซับรังสีได้ เพราะอย่างไรก็ด้อยประสิทธิภาพกว่าแว่นกันแดด ดังนั้นจึงไม่อาจใช้แทนกันได้
17. ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดที่น่าเลือกมากที่สุดในปัจจุบัน ควรมีคุณสมบัติบางเบา ซึมซาบไว ติดทนนาน และมีส่วนผสมของสารประกอบจากไทเทเนียม หรือซิงค์ออกไซด์
ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Women Plus

วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

มะขาม ยาถ่ายใกล้มือ

ทุกคนและสัตว์มีชีวิตอยู่ได้ก็ด้วยอาหาร ว่ากันตรงๆ ก็คือ ต้องกินนั่นเอง ถ้ากินไม่ได้หรือไม่ได้กินก็ต้องตายเป็นที่รู้ๆ กันอยู่ แต่ถ้ากินได้กินดี แล้วไม่ยอมถ่ายสักทีก็จะตายอีก การถ่ายจึงเป็นของคู่กับการกิน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้สาเหตุแห่งการถ่ายไม่ได้หรือไม่ออกนั้น เราเรียกกันว่า “ท้องผูก” ได้แก่อึแข็งนั่นเอง
ต้นเหตุของท้องผูกมีหลายประการ เช่น กินอาหารไม่มีการอาหาร ไม่ชอบกินผักผลไม้ ไม่ชอบดื่มน้ำ ไม่ชอบออกกำลังกาย อดนอน ใช้ความคิดมากเกินไป เป็นต้นผู้ที่บริหารสุขภาพไม่ได้ จะต้องมีโรคประจำตัวอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายๆ อย่าง เช่น ท้องผูก เป็นต้นการที่ท้องผูกให้ทุกข์และโทษอย่างไร คิดว่าทุกคนคงเคยเป็นมาบ้างไม่มากก็น้อย
ตามแต่ธาตุหนักหรือเบาโรคที่นะเกิดตามมาจากการท้องผูก คือ อาการครั่นเนื้อครั่นตัวคล้ายจะเป็นไข้ กินไม่ค่อยได้นอนไม่ค่อยหลับ ท้องอืด เฟ้อ มึนศีรษะ ความคิดไม่ปลอดโปร่ง อารมณ์หงุดหงิด แต่ละคนมีอาการไม่เหมือนกันใครมีอาการเหล่านี้แล้วท้องผูกด้วยอย่าได้ตกใจ ไม่ต้องรีบหาซื้อยาถ่ายราคาแพงมากิน ในบ้านเราหรือเอาง่ายๆ ในครัวเรามีตัวยาถ่ายอย่างดีราคาถูกปลอดภัยไม่มีพิษข้างเคียงหรือตกค้างให้คันหัวใจ นั่นคือ “มะขามเปียก” นั่นเองผู้เขียนมีประสบการณ์มามาก ในสมัยครองเรือนก็ใช้มาตลอด แม้ในปัจจุบันจะไม่ได้ใช้ (เพราะธาตุตัวเองอ่อน) แต่ก็ได้ใช้แก้ปัญหาท้องผูกให้พระ เณร เด็กวัด และชาวบ้านมาตลอด ได้ผลดีทุกราย
วีธีทำหรือกินก็ง่ายมากถ้าท้องผูกมาก เคยถ่ายประจำวันแล้วเกิดหยุดไป 2-3 วันไม่ถ่าย แน่นท้อง อึดอัด ให้ใช้มะขามเปียกขนาดกำปั้นผู้ใหญ่ จะมีเมล็ดหรือไม่มีเมล็ดก็ได้ เอามาขยำกับน้ำสุกสักชามก๋วยเตี๋ยวใหญ่ หรือประมาณ 3 แก้ว ให้ได้น้ำมะขามขั้น ๆ เหมือนก๋วยจั๊บน้ำข้นค่อนชามใหญ่ เอาเกลือผสมลงไปเพื่อตัดรสเปรี้ยวสักช้อน 1 กาแฟ แล้วดื่มให้หมดในคราวเดียวตอนก่อนนอนสัก 1 หรือ 2 ชั่วโมงเมื่อดื่มแล้วสักครู่ จะมีอาการปั่นป่วนในท้องอย่าตกใจ สักครู่ใหญ่จะถ่ายสัก 2 หรือ 3 ครั้งแล้วก็หยุดไปเอง ไม่ต้องกินยาคุมธาตุ ถ้าท้องผูกเพียงเล็กน้อย จะเอามะขามเปียกจิ้มเกลือกินสัก 5 ฝักก็จะถ่ายเป็นปกติถ้าเด็กเล็กให้กินมากๆ อย่างนั้นยาก ก็คงจับแกนอนคว่ำลง เอามะขามเปียกที่มีเมล็ดด้วยยึดเข้าไปทางก้นสักฝักหรือครึ่งฝัก ครูเดียวก็จะถ่ายเป็นจรวดหายร้องโยเยทันที อย่าลืม ก่อนยัดใส่ก้น ควรหักเป็นข้อๆ แล้วยัดเข้าไปทีละข้อท้องผูกเกิดจากอุจจาระแข็ง และที่แข็งนั้นก็มิได้แข็งทั้งหมด มันแข็งแต่ต้นขบวนเท่านั้น เพราะทับถมและถูกกดแน่น
จึงเกิดอาการท้องผูก เมื่อต้นขบวนถูกข้าศึก (มะขาม) ทำลาย กลางขบวนและท้ายขบวนก็เคลื่อนสะดวกอย่างไรก็ดี การปล่อยให้ท้องผูกแล้วแก้ทีหลัง เป็นการแก้ที่ปลายเหตุไม่ถูกต้อง ยิ่งไปเชื่อหรือซื้อยาถ่ายของต่างประเทศ ยิ่งจะเป็นการทำลายเศรษฐกิจในครอบครัวที่น่าสงสาร เพราะยาถ่ายจากสมุนไพรในบ้านเรามีมากมายทั้งหาง่าย ราคาถูก พิษภัยก็ไม่มี ยิ่งถ้าได้กินอาหารที่มีกาก ออกกำลังกายและดื่มน้ำมากๆ เป็นประจำวันก็จะไม่รู้จักกับท้องผูกอีกเลยขอบคุณ หมอชาวบ้าน

วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

5 วิธีสวยช่วยลดโลกร้อน

ปริมาณขยะ 2 แสนล้านล้านตันต่อปีทั่วโลกในปัจจุบัน ประมาณ 120 ล้านตันมาจากเครื่องสำอาง โดยปริมาณสารเคมีหรือสารตกค้างในเครื่องสำอางมีส่วนทำให้โลกร้อนขึ้นปีละ 0.02 องศาเซลเซียส
1. สวยด้วยธรรมชาติการดูแลความงามด้วยพืช ผัก และผลไม้ ช่วยลดภาวะโลกร้อนได้ เพราะไม่ผ่านกระบวนการผลิต และปราศจากสารเคมีที่เป็นพิษ ลดอาการแพ้ หรือการตกค้างของสารเคมี ซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหาผิว เช่น สิวและฝ้าได้จากการสำรวจพบว่า ผู้หญิงไทยร้อยละ 35 สนใจที่จะใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช มาใช้บำรุงความงาม เพราะให้ผลดีในระยะยาว และยังพบว่าผู้หญิงมีแนวโน้ม ที่จะดูแลความงามจากวัตถุดิบธรรมชาติมากขึ้น
2. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ Green Product ดังนี้- เลือกผลิตภัณฑ์ความงามออร์แกนิกและไบโอติก ซึ่งผลิตจากพืชสมุนไพร และผลไม้ปลอดสารพิษ ไม่ทำให้เกิดอาการแพ้ หรือระคายเคือง- เครื่องสำอางลดโลกร้อน ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ที่นำ Organic Palm Oil มาใช้ในอุตสาหกรรมความงามแทนสารสกัดจากปิโตรเลียม ครีมกันแดดประเภท Physical Sunscreen Biodegradable Sunscreen ซึ่งย่อยสลายได้ นอกจากนี้ยังมีอายแชโดว์ และบลัชออนที่ผลิตจากผงแร่ธาตุบริสุทธิ์แทนส่วนผสมของน้ำมัน ขี้ผึ้ง น้ำหอม และสารกันเสีย- หลีกเลี่ยงเครื่องสำอางนาโน เนื่องจากกระบวนการผลิตเครื่องสำอางชนิดนี้มีอานุภาคเล็ก ยากต่อการย่อยสลาย ทำให้เกิดสารเคมีตกค้างในสิ่งแวดล้อม
3. มองหาเครื่องหมาย Green Dotเครื่องหมายนี้พบได้บนฉลากของผลิตภัณฑ์ที่มีกระบวนการผลิต ที่อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอนุรักษ์พลังงานธรรมชาติ และบริษัทผู้ผลิตได้จ่ายเงินในการกำจัดขยะให้แก่หน่วยงานที่รับผิดชอบ
4. รีไซเคิลมีผู้ผลิตเครื่องสำอางหลายยี่ห้อชักชวนให้นำเครื่องสำอาง ที่ใช้แล้วไปผ่านกระบวนการรีไซเคิล แต่ยังพบว่าพลาสติกส่วนใหญ่ ที่เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลนั้นเป็นพลาสติกชนิด PET (Polyethylene Terephthalate) ซึ่งรีไซเคิลได้เพียง 30 เปอร์เซ็นต์ จึงมีการรณรงค์ให้หันมา ใช้เครื่องสำอางในบรรจุภัณฑ์พลาสติก PCR (Post Consumer Recyclate) ซึ่งรีไซเคิลได้ 100 เปอร์เซ็นต์
5. ใช้เครื่องสำอางประเภทรีฟิล (refill)ช่วยลดจำนวนพลาสติกเหลือใช้ ทั้งยังประหยัดเงินในกระเป๋าได้อีกด้วยเท่านี้ก็แต่งหน้าทาปากได้อย่างสบายอกสบายใจเหมือนเดิม แถมยังช่วยลดความร้อนให้โลกไปด้วยในตัว

วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ไข้หวัดหมู หรือไข้หวัดเม็กซิโก

เริ่มต้นไขข้อข้องใจ ไข้หวัดหมูคืออะไร
ไข้หวัดหมู เป็นโรคทางเดินหายใจที่พบและแพร่ระบาดในหมู ซึ่งมีสาเหตุจาก
ไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด A โดยปกติจะไม่ทำให้เกิดการติดเชื้อในคน แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายเดือนมีนาคม ปี 2552 ได้พบว่ามีการระบาดของเชื้อไวรัสไข้หวัดหมู
ในประเทศเม็กซิโก และอเมริกา เป็นสายพันธุ์ที่ไม่เคยพบมาก่อนในมนุษย์ เป็นสายพันธุ์ที่มีชิ้นส่วนของพันธุกรรมเกิดจากการผสมผสานของไข้หวัดหมู ที่เคยมีรายงานในอเมริกา หรือ ยุโรป และเอเชีย รวมทั้งชิ้นส่วนพันธุกรรมของไข้หวัดที่เคยรายงานไว้ในอเมริกาเหนือ จึงถือได้ว่าเป็น “ไวรัสสายพันธุ์ใหม่”
และเมื่อดูองค์ประกอบเปรียบเทียบกับวัคซีน H1N1 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน มีความคล้ายคลึงกันไม่ถึง 80% บ่งชี้ให้เห็นว่า การป้องกันด้วยวัคซีนที่ใช้ในปัจจุบันก็ไม่น่าจะได้ผลอาการของผู้ที่ติดเชื้อไขหวัดหมูอาการผู้ป่วยไข้หวัดหมูจะคล้ายคลึงกับอาการของไข้หวัดทั่วไป คือ

มีไข้ไอ เจ็บคอปวดเมื่อยตามร่างกายปวดหัวหนาวสั่น และอ่อนเพลียในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการท้องเสีย และอาเจียนร่วมด้วยนอกจากนี้ในรายที่มีอาการรุนแรง จะมีอาการปวดบวม การหายใจล้มเหลว และเสียชีวิตการแพร่เชื้อของไข้หวัดหมูเกิดได้อย่างไรเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่นี้

มีการแพร่ติดต่อเช่นเดียวกับโรคไข้หวัดใหญ่ในคนโดยทั่วไป คือเชื้อ นั้นจะอยู่ในเสมหะ น้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย แพร่ไปยังผู้อื่นโดยการไอ หรือจามรดกันในระยะใกล้ชิด หรือติดจากมือและสิ่งของที่มีเชื้อปนเปื้อนอยู่ และเชื้อจะเข้าสู่ร่างกายทางจมูกและตา เช่น การแคะจมูก การขยี้ตาแล้วเราจะติดเชื้อไข้หวัดหมูจากการกินหมูหรือไม่เชื้อไข้หวัดหมูไม่แพร่ทางอาหาร ดังนั้นเราก็จะไม่ติดเชื้อจากการรับประทานเนื้อหมู หรือผลิตภัณฑ์จากหมู การติดเชื้อจากผู้ป่วยเกิดได้อย่างไรผู้ป่วยไข้หวัดหมู สามารถแพร่เชื้อให้แก่คนอื่นได้ เริ่มตั้งแต่ก่อนเกิดอาการของโรค 1 วัน จนกระทั่ง
หลังจากมีอาการป่วย 7 วันหรือมากกว่านั้น ซึ่งหมายถึงว่า ผู้ป่วยสามารถแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นก่อนที่เค้าจะรู้ว่าตัวเองป่วย เราควรทำอย่างไรที่จะหลีกเลี่ยงการติดเชื้อไข้หวัดหมู

ล้างมือให้สะอาดพยายามรักษาสุขภาพนอนให้เพียงพอออกกำลังกาย และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ดื่มน้ำให้เพียงพอไม่สัมผัสพื้นผิว
ที่มีความเสี่ยงที่จะปนเปื้อนด้วยเชื้อไข้หวัดหมูหลีกเลี่ยงที่ใกล้ชิดคนที่ป่วยยาที่ใช้ในการรักษาไข้หวัดหมู ยาที่ใช้ในการรักษาหรือป้องกันไข้หวัดหมู คือ oseltamivia หรือ zanamivia ซึ่งยาต้านไวรัสนี้จะช่วยให้อาการป่วยนี้ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว และยังป้องกันโรคแทรกซ้อนที่ร้ายแรงที่จะเกิดขึ้นได้
ในการรักษาด้วยยาเหล่านี้จะให้ผลดีที่สุด เมื่อเริ่มการรักษาหลังจากเริ่มมีอาการภายใน 2 วันสิ่งที่อาจมีการปนเปื้อนด้วยเชื้อไข้หวัดหมูเชื้อไข้หวัดหมูสามารถแพร่ไปยังผู้อื่นด้วยการสัมผัสสิ่งที่ปนเปื้อนเชื้อโรค
และนำเชื้อเข้าสู่ร่างกายด้วยการนำไปสัมผัสที่ตา จมูก หรือปาก ละอองเสมหะจากการไอหรือจามของผู้ป่วยไข้หวัดหมูจะกระจายไปในอากาศ การแพร่เชื้อก็จะเกิดจากการที่เราสัมผัสถูกละอองเสมหะเหล่านั้น เช่น ละอองเสมหะที่ตกลงบนโต๊ะ จากนั้นเมื่อเราสัมผัสถูกละอองเสมหะ
แล้วไม่ได้ล้างมือก่อนที่จะสัมผัสบริเวณตา จมูก ปาก ก็จะเป็นการนำเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ไวรัสโดยทั่วไปสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานเท่าไหร่นอกร่างกายโดยปกติไวรัสและแบคทีเรียสามารมีชีวิตอยู่นอกร่างกาย (เช่น บริเวณพื้นผิวโต๊ะ ลูกบิดประตู เป็นต้น ) ได้ 2 ชั่วโมงหรือนานกว่า ดังนั้นการล้างมือบ่อยครั้งจึงเป็นการป้องกันการติดเชื้อได้เราสามารถป้องกันตนเองจากการป่วยด้วยไข้หวัดหมูได้อย่างไรในขณะนี้ยังไม่มีวัคซีนป้องกันไข้หวัดหมู ดังนั้นจึงมุ่งเน้นในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อ ซึ่งมีแนวทางด้งต่อไปนี้

ปิดปาก จมูกด้วยกระดาษทิชชู่เมื่อมีการไอ หรืจาม ทิ้งกระดาษทิชชู่ลงในขยะหลังจากที่ใช้

ล้างมือบ่อยครั้งด้วยสบู่ (ใช้เวลาล้าง 15-20 วินาที) โดยเฉพาะหลังการไอและจาม หรือใช้เจลอัลกอฮอล์ทำความสะอาดมือแทนได้เช่นกัน

หลีกเลี่ยงการสัมผัส ดวงตา จมูก หรือปาก ซึ่งเป็นทางที่จะนำเชื้อเข้าสู่ร่างกาย

หลีกเลี่ยงที่จะใกล้ชิดกับคนที่ไม่สบาย

ถ้าคุณป่วยเป็นไข้หวัด ควรพักผ่อนอยู่ที่บ้าน หรือจำกัดการติดต่อผู้อื่นเพื่อป้องกันการแพร่ของโรคอ้างอิงQuestions & Answers.Swine Influenza and You. CDC ( Center for disease control and prevention.

วันอังคารที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2552

9 เทคนิคฝึกสมอง

โดย วนิษา เรซ ผู้เชี่ยวชาญด้านอัจฉริยภาพจาก ม.ฮาร์วาร์ด
ผู้หญิงสมัยนี้ อยากสวย ฉลาด และสุขภาพดี ทุกคนจึงพากันดูแลรูปร่าง ด้วยการออกกำลังกายเคร่งครัด เรื่องอาหารการกิน แต่ไม่เคยมีใครสนใจว่าจะดูแลสมองอย่างไรให้มีสุขภาพดี ทั้งที่สมองเป็นอวัยวะที่ตัดสินใจทุกเรื่องของชีวิต เราจึงควรเอกเซอร์ไซส์สมองให้ไบรท์ด้วยเทคนิคง่าย ๆ ต่อไปนี้
1. จิบน้ำบ่อย ๆ (Drink water very often) สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมอง ก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ
2. กินไขมันดี (Enjoy good Omega 3) คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วยปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น
3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที (Meditation 12 min a day) หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุด ๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ ( ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน
4. ใส่ความตั้งใจ (Program the brain: have specific intention) การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน
5. หัวเราะและยิ้มบ่อย ๆ (Laugh and Smile) ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟินซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้น ให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ
6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน (Learn new thing everyday) สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และ สร้างสรรค์ ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์
7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน (Forgive yourself, reduce brain stress) ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง
8. เขียนบันทึก Graceful Journal (Write graceful journal, good things in life every day) ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มี ครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดี ๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์
9. ฝึกหายใจลึก ๆ (Deep breath) สมองใช้ออกชิเจน 20 25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกชิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนาน ๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกชิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 % การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม

วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2552

5 อย่า” เมื่อคุณจะนอน ดูแลสุขภาพกันหน่อย

1 คือ อย่านอนหลับไปพร้อมๆ กับนาฬิกาข้อมือ ก็เพราะขณะที่นาฬิกาเจ้ากรรมทำงานไปเรื่อยๆ นั้นเจ้านาฬิกาไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ล้วนปล่อยพลังงานทั้งสิ้น เชื่อมั้ยว่าการใส่นาฬิกาข้อมือนอน จะมีผลต่อสุขภาพระยะยาวเลย
อย่าที่ 2 นี่
สำหรับพวกชอบคุยโทรศัพท์มือถือจนหลับโดยเฉพาะเลยไม่ควรนอนหลับไปพร้อมๆ กับโทรศัพท์เท่านั้น แต่หมายรวมไปถึงการวางโทรศัพท์มือถือไว้ใกล้ๆ ตัวด้วย บางคนที่ชอบใช้มือถือเป็นนาฬิกาปลุกยามเช้า กรุณาเก็บมือถือของท่านไว้ให้ใกลตัวที่สุดเมื่อจะนอนซะเถอะ ไปหาซื้อนาฬิกาปลุกถูกๆ ดีๆ เก๋ๆ มาใช้ดีกว่า เพราะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ระบุว่า โทรศัพท์มือถือเครื่องจิ๋วเนี่ย จะปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาขณะเปิดเครื่องไว้ และเจ้าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเหล่านี้ มีผลกับระบบประสาทซะด้วยส ิ เพราะฉะนั้น ตอนนอนก็ปิดโทรศัพท์มือถือซะดีกว่า พอปิดโทรศัพท์มือถือเรียบร้อยแล้ว จะวางไว้ใกล้หรือไกลก็หายห่วง
อย่าที่ 3 ง่ายๆ สั้นๆ คือ อย่าหลับพร้อมๆ กับเครื่องสำอาง ไม่ว่าจะเหนื่อยอ่อนเมื่อยล้าขนาดไหน ต้องล้างเครื่องสำอางออกให้หมด เพราะการหลับทั้งๆ ที่เครื่องสำอางยังคาอยู่ที่ผิวหน้านั้น จะก่อให้เกิดปัญหาด้านผิวพรรณระยะยาว กลางคืนคือช่วงเวลาที่ผิวพรรณจะได้พักผ่อนบ้างนะค่ะ
อย่าที่ 4 (สำหรับสาวๆ เท่านั้น) คือ อย่านอนหลับทั้งๆ ที่ยังใส่ยกทรงนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน ค้นพบว่าการใส่ยกทรงนานเกิน 12 ชั่วโมง จะเป็นการเพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งทรวงอกได้ ฉะนั้น ก็อย่าใส่ยกทรงนอนเลย ไม่ต้องกลัวเสียทรง ไม่ต้องกลัวอกแบะห่วงชีวิตไว้ก่อนดีกว่า
อย่าที่ 5 อันนี้เหมาะกับทุกเพศเลยนะ “อย่านอนกับสามีหรือภรรยาของคนอื่น” เพราะคุณอาจจะไม่ได้ตื่นอีกเลย …

วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2552

13 วิธีดูแลสุขภาพหน้าร้อน

1. ไม่ควรกินน้ำแข็งหรือดื่มน้ำเย็นจัด ฤดูร้อน อากาศร้อน ต้องหาทางช่วยดับความร้อน เพื่อป้องกันความร้อนกระทบร่างกายมากเกินไป เป็นหลักการที่ ถูกต้อง แต่วิธีการให้ความเย็นแทนที่ที่มีความเย็น ฯลฯ นับว่าไม่เหมาะสม



2. เครื่องดื่มที่เหมาะสมในหน้าร้อน ควรดื่มน้ำเยอะ ๆ เพราะหน้าร้อนจะสูญเสียเหงื่อมาก ควรดื่มน้ำเปล่าที่สุกแล้ว หรือจะเสริมปรุงแต่งด้วยน้ำตาล เกลือแร่ หรือสมุนไพรอื่น ๆ ก็สามารถเลือกได้





3.ไม่ควรนอนให้ลมหรือความเย็นโกรก ความร้อนจากแดดทำให้เสียเหงื่อ เสียพลัง เมื่อนอนหลับตากลมในขณะเหงื่อออก จะทำให้อุณหภูมิร่างกายลดต่ำลง ถ้าอุณหภูมิภายนอกยังสูงอยู่ แล้วเหงื่อไม่สามารถระบายออกมาได้ จะมีความร้อนสะสมอยู่ข้างใน ทำให้เวียนหัว รู้สึกหนักหัว ไม่สดชื่อแจ่มใส อาจทำให้เป็นหวัดได้





4. การนอนพักผ่อน ควรนอนหลับให้เพียงพอ




5. อย่างด อาหารเช้า เพราะร่างกายต้องการ สารอาหาร เพื่อกระตุ้น ระบบเผาผลาญ ซึ่งจะช่วย ควบคุมน้ำหนัก ด้วย แต่ควรหลีกเลี่ยง อาหาร จำพวก แป้งขัดขาว หรือ ของทอด ของมัน หากควบคุมอาหาร แล้วยังรู้สึก ท้องอืด และ อึดอัด อยู่ เม็กซ์ ทอมลินสัน นักโภชนาการ แนะนำให้ดื่ม น้ำชา เปปเปอร์มิ้นต์ ช่วยขับลม จะทำให้รู้สึกสบายขึ้น




6. ดูแลสุขภาพของเด็กโดยเฉพาะเรื่องเสื้อผ้า อาหาร ที่อยู่อาศัย และทางเดิน




7. หญิงตั้งครรภ์กับการปฏิบัติตัวในหน้าร้อน คือ ต้องสวมเสื้อผ้าที่มิดชิด เพื่อป้องกันการกระทบกับความเย็น อาหารที่กินต้องสะอาด ไม่ควรนอนบนสื่อที่เย็น และห่มผ้าคลุมกายเสมอ ระวังอย่าให้เป็นหวัด ห้ามอาบน้ำร้อนจัดหรือเย็นจัดจนเกินไป




8. บุคคลที่ต้องระวังให้มาก คนสูงอาย ุผู้ที่มีระบบย่อยที่ไม่ดี และคนที่มีม้ามบกพร่อง ผู้ที่มีลักษณะสามอย่างที่กล่าวมานั้น เมื่อได้รับความร้อนจากแสงแดด ถ้าดื่มน้ำเย็นมากเกินไป และเกิดความชื้นสะสมในร่างกาย อาการที่แสดงออก คือ ท้องเสีย ติดเชื้อราง่าย ขี้หนาว ปวดหัว ตัวร้อน เป็นต้น




9. อย่าทา ครีมกันแดด อย่างเร่งรีบ แพทย์ผิวหนัง แนะนำให้ทาให้ทั่วถึงแม้แต่ ในร่มผ้า ด้วย โดยทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมง และหลัง ว่ายน้ำ แม้ผลิตภัณฑ์จะเป็นสูตรกันน้ำ ก็ตาม โดยควรเลือกที่มีส่วนผสมของ Mexoryl และ Tinosorb เพราะสามารถกรอง รังสียูวีเอและยูวีบี ได้ดี เช่น Vichy, Nivea และ Ambre Solaire จาก Garnier




10. อากาศร้อนจัดมีผลต่อ อารมณ์ หงุดหงิด และ หดหู่ (SAD - Seasonal Affective Disorder) จากสถิติ ผู้หญิงจะเป็นมากกว่า ผู้ชาย ดังนั้นลองออกไป เดินเล่น ช่วงบ่ายแก่ ๆ หรือช่วงที่คนไม่มาก สิ่งสำคัญคือ พยายาม กระฉับกระเฉง เข้าไว้





11. หากผิวแสบร้อนจาก การโดนแดด แพทย์ผิวหนัง แนะนำให้กิน ยาแอสไพริน เพื่อลด อาการเจ็บปวด แล้วลองแช่ตัว ใน อ่างน้ำ อุณหภูมิร่างกาย โดยใส่ ออยล์ สำหรับ แช่อาบ จากนั้น บำรุงผิว ด้วย โลชัน ที่มีส่วนผสมของ ว่านหางจระเข้ หรือ อาฟเตอร์ซันเจล และหลีกเลี่ยงแดด ในวันถัดไป




12. ลองทำ สเปรย์บรรเทาผิวไหม้เกรียม อย่างง่าย ๆ คือ น้ำกรองบริสุทธิ์ 2 ออนซ์ ใส่ เอสเซ็นเชียลออยล์ กลิ่นลาเวนเดอร์ 9 หยด กลิ่นเปปเปอร์มิ้นต์ 2 หยด และ สเปียร์มิ้นต์ 1 หยด ผสมรวมกันแล้วใส่ใน กระบอกฉีด สำหรับพกติดตัว




13. หากต้องออกไปเผชิญ อากาศร้อน ภายนอก ควรใช้ เครื่องสำอาง เนื้อครีม ที่ปัจจุบันมี เนื้อแห้งเหมือนแป้ง หากหน้ามัน ปัดทับด้วย บรอนเซอร์ หรือ แป้งชนิดฝุ่นอ่านกันแล้วก็อย่าลืมนำไปใช้ในหน้าร้อนนี้กันด้วยนะคะ




เพียงเท่านี้ทุกท่านก็จะมีสุขภาพที่ดีในหน้าร้อนกันแล้วค่ะ

วันเสาร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2552

เคล็ดลับการดูแลสุขภาพ...หน้าร้อน

ร้อน..ร้อน..อีกแล้ว ร้อนจริงๆ ค่ะ หน้าร้อนทีไร โรคภัยไข้เจ็บมักจะมาเยือนพร้อมกับอากาศร้อน เช่น ปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้ ปวดท้อง ท้องร่วง ท้องเสีย และโรคอื่น ๆ อีกมากมายที่เดินขบวนมาเป็นแถวยาวเหยียดเลยล่ะ ถ้าเป็นแบบนี้ เราจะหาวิธีรับมือกับโรคภัยไข้เจ็บหน้าร้อนได้อย่างไรกัน ขอบอก...ไม่ต้องกลัว เพราะไม่ยากอย่างที่คิด ขอเพียงคุณปฏิบัติตามที่แนะนำ ก็จะมีวิธีดูแลสุขภาพตนเองให้แข็งแรงได้อย่างแน่นอน เอาล่ะค่ะมาดูเคล็ดลับ 8 วิธี กับการดูแลสุขภาพหน้าร้อน...ง่ายๆค่ะ
1. ไม่ควรกินน้ำแข็งหรือดื่มน้ำเย็นจัด ฤดูร้อน อากาศร้อน ต้องหาทางช่วยดับความร้อน เพื่อป้องกันความร้อนกระทบร่างกายมากเกินไป เป็นหลักการที่ถูกต้อง ซึ่งช่วยให้คุณเจ็บป่วยน้อยลง
2. ควรดื่มน้ำมาก ๆ เพราะหน้าร้อนจะสูญเสียเหงื่อมาก น้ำที่นำมาดื่มคือน้ำเปล่าที่สุกแล้ว vอาจจะปรุงแต่งด้วยน้ำตาล เกลือแร่ หรือสมุนไพรอื่น ๆ ก็สามารถรับประทานได้
3. ไม่ควรนอนให้ลมหรือความเย็นโกรก ความร้อนจากแดดทำให้เสียเหงื่อ เสียพลัง เมื่อนอนตากลมในขณะเหงื่อออก จะทำให้อุณหภูมิร่างกายลดต่ำลง ถ้าอุณหภูมิภายนอกยังสูงอยู่ แล้วเหงื่อไม่สามารถระบายออกมาได้ ความร้อนก็สะสมอยู่ข้างใน ทำให้เวียนหัว รู้สึกหนักหัว ไม่สดชื่นแจ่มใส หรืออาจทำให้เป็นไข้หวัดได้
4. การนอนพักผ่อน ควรนอนหลับให้เพียงพอ
5. ควรเลือกรับประทานอาหารอ่อนๆในตอนเช้า เช่น ข้าวต้ม เพราะช่วงเช้ายังไม่ควรทานอาหารที่หนัก ๆ แค่ทานผักผลไม้มากๆ ควรหลีกเลี่ยงอาหารทอดๆ มัน ๆ แห้ง ๆ
6. ควรดูแลสุขภาพของเด็กๆ โดยเฉพาะเรื่องเสื้อผ้า อาหาร ที่อยู่อาศัย และการดำเนินชีวิต
7. สำหรับหญิงตั้งครรภ์ สิ่งที่ควรปฏิบัติในหน้าร้อน คือ ต้องสวมเสื้อผ้าที่มิดชิด เพื่อป้องกันการกระทบกับความเย็น อาหารที่กินต้องสะอาด ไม่ควรนอนบนสื่อที่เย็น และห่มผ้าคลุมกายเสมอ ระวังอย่าให้เป็นไข้หวัด ห้ามอาบน้ำร้อนจัด หรือเย็นจัด
8. บุคคล 3 ประเภทที่ต้องระวังให้มาก คือ คนสูงอายุ ผู้ที่มีระบบย่อยอาหารที่ไม่ดี คนที่มีม้ามพร่อง ผู้ที่มีลักษณะสามอย่างที่กล่าวมานั้น เมื่อได้รับความร้อนจากแสงแดด หรือถ้าดื่มน้ำเย็นมากเกินไป และเกิดความชื้นสะสมในร่างกาย อาจทำให้เกิดอาการ ท้องเสีย ติดเชื้อ ราง่าย ขี้หนาว ปวดหัว ตัวร้อน เป็นต้น
รู้วิธีรับมือกับโรคหน้าร้อนอย่างนี้แล้ว คงสบายอกสบายใจไร้กังวล กิน... เที่ยว... ให้สนุก มีความสุขในหน้าร้อนทุกๆคนนะคะ

วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2552

คำสอนของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

สิ่งที่ล่วงไปแล้ว ไม่ควรทำความผูกพัน เพราะเป็นสิ่งที่ล่วงไปแล้วอย่างแท้จริงแม้กระทำความผูกพันและหมายมั่นให้สิ่งนั้นกลับมาเป็นปัจจุบัน ก็เป็นไปไม่ได้ผู้ทำความสำคัญมั่นหมายนั้นเป็นทุกข์แต่ผู้เดียว โดยความไม่สมหวังตลอดไป อนาคตที่ยังมาไม่ถึงนั้น เป็นสิ่งไม่ควรไปยึดเหนี่ยวเกี่ยวข้องเช่นกัน
อดีตปล่อยไว้ตามอดีต อนาคตปล่อยไว้ตามกาลของมันปัจจุบันเท่านั้นจะสำเร็จประโยชน์ได้ เพราะอยู่ในฐานะที่ควรทำได้ ไม่สุดวิสัย

วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2552

สมุนไพรรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้

สาเหตุของโรคดังกล่าวยังไม่ชัดเจน ปกติจะมีสารเมือก (mucin) หลั่งออกจากต่อมในส่วนล่างของหลอดอาหาร กระเพาะอาหารและส่วนบนของลำไส้เล็ก เพื่อป้องกันเยื่อบุกระเพาะจากฤทธิ์กัดของน้ำย่อยที่เป็นกรดอย่างแรง แต่มีปัจจัยบางอย่างที่คาดว่าจะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารอ่อนแอลง เกิดการอักเสบและเป็นแผลได้ง่าย เช่น ภาวะขาดอาหาร ภาวะเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ รับประทานยาหรือสารบางชนิดที่กัดกระเพาะ สูบบุหรี่จัด ดื่มกาแฟที่มีคาเฟอีนมากหรือเนื่องจากกรรมพันธุ์
อาการระยะแรก คือ ปวดท้องบริเวณลิ้นปี่ อาจมีความรู้สึกอิ่มแน่นหรือหิวร่วมด้วย แผลในกระเพาะอาหารมักปวดท้องหลังอาหารประมาณ 1-ชั่วโมงครึ่ง ส่วนแผลในลำไส้มักปวดท้องหลังอาหารประมาณ 2-4 ชั่วโมง และช่วงดึกหลังเที่ยงคืนด้วย
การรักษาจะไม่หายขาด ผู้ป่วยจะต้องดูแลตนเองคล้ายกับผู้ป่วยท้องอืด ท้องเฟ้อ ระยะที่ปวดท้องควรดื่มนมถั่วเหลืองทุก 3-4 ชั่วโมงพร้อมทั้งใช้สมุนไพรที่แนะนำ รับประทานอาหารอ่อน ทานอาหารครั้งละน้อยๆ แต่ทานบ่อยๆ งดอาหารรสจัดและสิ่งต้องห้ามข้างต้น และหาทางคลายเครียดด้วย จะมีสมุนไพรที่ช่วยรักษาเยื่อบุทางเดินอาหารให้แข็งแรงขึ้น และควรใช้สมุนไพรขับลมร่วมด้วย กล้วยน้ำว้ารับประทานผลดิบสดครั้งละครึ่งถึง 1 ผล อาจใช้ผลดิบหั่นบางๆตากแห้ง บดเป็นผงชงน้ำดื่ม ใช้ผงยาเท่ากับครึ่งถึง 1 ผล
ข้อควรระวัง อาจมีอาการท้องอืดหลังรับประทานยานี้ แก้ได้โดยดื่มน้ำต้มขิงหรือสมุนไพรขับลมอื่นๆขมิ้นชันผงขมิ้นครั้งละ 500 มิลลิกรัม วันละ 3-4 ครั้ง หลังอาหารและก่อนนอนหรือปั้นเป็นลูกกลอนขนาดปลายนิ้วก้อย รับประทานครั้งละ 2 เม็ด
ขอบคุณ ข้อมูลจากเวปไซต์สมุนไพร

อาหาร 10 อย่างที่ควรมีไว้ในตู้เย็น

- น้ำเปล่า
"น้ำ" ถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำรงชีวิต ช่วยทำให้ระบบการทำงานของร่างกายเป็นไม่อย่างปกติ ช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตดี หัวใจทำงานปกติและมีประสิทธิภาพแข็งแรงขึ้น รวมทั้งช่วยให้การขับถ่ายของเสียทำงานได้ดี ที่สำคัญยังช่วยให้ผิวชุ่มชื่น โดยน้ำที่เหมาะแก่การดื่มคือน้ำอุณหภูมิปกติ
- ผัก
"ผัก" ถือเป็นอาหารที่มีคุณค่ามาก เพราะมีสารอาหารที่ร่างกายต้องการ อาทิ วิตามิน เกลือแร่ อยู่เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ในผักยังมี "ใยพืช" (Fiber) ซึ่งช่วยกระตุ้นลำไส้ให้ทำงานดีขึ้น ทำให้ท้องไม่ผูก ป้องกันโรคริดสีดวงทวาร โรคมะเร็งลำไส้- ไข่ไก่"ไข่ไก่" เพราะในไข่ไก่มีทั้งโปรตีนและกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย 9 ชนิด ทั้งยังมีวิตามินกับเกลือแร่อีกหลาย ชนิด เช่น วิตามินเอ , บี, ดี และ อี ธาตุเหล็ก , สังกะสี, ซีลีเนียม และไอโอดีน ส่วนใครที่เคยเชื่อมาผิด ๆ ว่าทานไข่แล้วจะเสี่ยงกับความอ้วนนั้น คุณเข้าใจผิด เพราะโคเลสเตอรอลในไข่แดงมีประมาณ 230 มิลลิกรัมต่อฟอง ซึ่งนับว่าปลอดภัยกว่าการกินเนย แป้ง น้ำตาล และเนื้อสัตว์ติดมันมาก
- นม
"นม" ในที่นี้จะเป็นประเภทใดก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นนมวัว นมถั่วเหลือง หรือนมเปรี้ยว เพราะทุกประเภทล้วนมีประโยชน์ทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าเราต้องอ่านฉลากข้างกล่องหรือขวดให้ดีก่อนจะซื้อมาเก็บไว้ในตู้ เย็น เพราะในนมแต่ละยี่ห้อแต่ละสูตรก็จะมีปริมาณน้ำนมและสารปรุงแต่งไม่เท่ากัน สำหรับคนที่ไม่มีปัญหาในเรื่องระบบย่อยอาหารคุณควรดื่มนมวัว เพราะในนมวัวมีแคลเซียมและโปรตีนซึ่งมีความสมบูรณ์ของกรดอะมิโนดีกว่าโปรตีน จากถั่วเหลือง
- เนื้อปลา
"เนื้อปลา" เพราะโปรตีนจากเนื้อปลามีไขมันต่ำ ย่อยง่าย และมีสาอาหาร คือ กรดโอเมก้า 3 ซึ่งมีกรด DHA และกรด EPA โดย DHA จะช่วยบำรุงเซลล์สมอง เซลล์ประสาท และเรตินาในดวงตา ส่วนกรด EPA ช่วยควบคุมระดับโคเลสเตอรอล และลดระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ในร่างกาย จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้
- ผลไม้รสเปรี้ยวผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้ม , มะม่วง,ฝรั่ง, กีวี่ ,ผลไม้ตระเค้าลเบอร์รี่ เพราะผลไม้ประเภทนี้จะมีวิตามินซีสูง (แถมยังปลอดภัยจากความอ้วนกว่าผลไม้รสหวานที่มีน้ำตาลมาก) ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของภูมิต้านทานโรค ช่วยลดระดับไขมันที่จะไปพอกพูนเส้นเลือดในร่างกายแล้วทำให้หลอดเลือดอุดตัน ทั้งยังช่วยควบคุมโคเลสเตอรอล และป้องกันการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี ที่สำคัญวิตามินซีทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นเหตุของการเสื่อมของร่างกายอีกด้วย
- แอปเปิ้ล
แอปเปิ้ลมีสารอาหารที่มีประโยชน์หลายชนิด อาทิ สารเบตาแคโรทีน วิตามินซี นอกจากนี้แอปเปิ้ลยังเป็นผลไม้ที่มีเส้นใยมาก ซึ่งจะทำหน้าที่ทำความสะอาดลำไส้ ช่วยให้ตับและระบบย่อยทำงานได้ดียิ่งขึ้น และถ้าอยากได้คุณค่าเต็มเปี่ยมแนะนำให้ทานแอปเปิ้ลทั้งเปลือก เพราะเปลือกของแอปเปิ้ลแดง 1 ผลนั้นมีสารต้านอนุมูลอิสระเทียบเท่ากับวิตามินซี 820 มิลลิกรัม
- ถั่ว
"ถั่ว" ถือเป็นโปรตีนจากพืชที่มีคุณค่าทางอาหารสูงไม่แพ้โปรตีนจากเนื้อสัตว์เชียว ดังนั้นคนที่อยู่ในช่วงทานเจหรือมังสวิรัติแต่ไม่อยากให้ร่างกายขาดโปรตีน ถั่วจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด และที่สำคัญถั่วยังอุดมไปด้วยวิตามินที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของผิวหนัง ผม การควบคุมความดันโลหิต ระบบภูมิคุ้มกัน ระบบการแข็งตัวของเลือด นอกจากนี้ไขมันไม่อิ่มตัวในถั่วจะช่วยลดระดับโคเลสเตอรอล
- ธัญพืช
"ธัญพืช" จำพวกข้าวโพด , ลูกเดือย ,งา ,ข่าวฟ่าง,เมล็ดทานตะวัน, จมูกข้าว, รำจ้าว (ชนิดที่อบกรอบพร้อมทาน) ติดตู้เย็นไว้จะช่วยให้คุณประหยัดเวลาได้มากทั้งยังดีต่อสุขภาพ โดยในธัญพืชจะมีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ต้องใช้เวลาในการย่อย ทำให้น้ำตาลในเลือดไม่ขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว จึงไม่ทำเกิดเป็นโรคเบาหวานตามมาในภายหลัง (ต่างจากแป้งขัดขาวซึ่งน้ำตาลจะถูกย่อยเร็ว) นอกจากนี้ธัญพืชยังเปี่ยมด้วยวิตามิน เกลือแร่ และไฟเบอร์รู้อย่างนี้แล้ว ลองหาอาหารแต่ละชนิดมาติดไว้ในตู้เย็น เพื่อสุขภาพที่ดี
- โยเกิร์ต
"โยเกิร์ต"
มีวิตามิน ได้แก่ วิตามิน เอ, บี1, บี2, บี3, บี6, บี12, ดี, อี มีกรดที่ช่วยในการดูดซึมโปรตีน แคลเซียมและเหล็กเข้าสู่ร่างกาย ช่วยการทำงานของระบบย่อยอาหาร และระบบการขับถ่าย ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือด ช่วยบำรุงผิวพรรณ แต่ก่อนซื้อต้องอ่านฉลากให้ดีก่อนว่าในโยเกิร์ตรสและยี่ห้อนั้น ๆ มีส่วนประกอบและคุณค่าทางอาหารอะไรบ้าง แนะนำว่าโยเกิร์ตธรรมชาติที่มีน้ำตาลน้อยดีที่สุด

วันอังคารที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2552

อานิสงส์ 10 ข้อของการไม่กินเนื้อสัตว์

1. เป็นที่รักของบรรดาเทพ พรหม ตลอดจนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย
2. จิตอันเป็นมหาเมตตาย่อมบังเกิดขึ้น
3. สามารถตัดขาดความอาฆาต ดับอารมณ์เหี้ยมโหดเครียดแค้นในใจลงได้
4. ปราศจากโรคภัยร้ายแรงมาเบียดเบียนร่างกาย
5. มีอายุมั่นขวัญยืน
6. ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากเทพทั้งปวง
7. ยามหลับนิมิตเห็นแต่สิ่งที่ดีงามเป็นสิริมงคล
8. ย่อมระงับการจองเวร สลายความอาฆาตแค้นซึ่งกันและกัน
9. สามารถดำรงอยู่ในกระแสพระนิพพาน ไม่พลัดหลงตกลงสูอบายภูมิ
10. ทันทีที่ละสังขารจากโลกนี้ จิตจะมุ่งสู่สุคติภพ

วันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2552

ประโยชน์ของการสวดมนต์

1 ทำให้ได้อรรถรส และ ธรรมรส หากได้พิจารณาธรรมในขณะสวด
2. ทำให้ใจสงบได้เร็ว
3. ทำให้ใจเป็นกุศลง่าย
4. เหมาะสำหรับการเตรียมจิตก่อนปฎิบัติกรรมฐาน
5. ถ้าสวดดังๆ หากมีผู้ได้ยินและน้อมใจตาม พลอยได้ประโยชน์ด้วย
6.หากสวดเป็นประจำ นับเป็นการบำเพ็ญ ศีล สมาธิ ปัญญา อย่างมีระเบียบ นับว่าได้เข้าถึงพระรัตนตรัยเป็นนิจ
7.นับเป็นการช่วยรักษาพระสัทธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ให้มีการสืบทอดพระพุทธศาสนาและเป็นประโยชน์แก่ลูกหลานในอนาคต

วันเสาร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

หนีทุกข์ตลอดเวลา - เข็มทิศชีวิต

หัวใจสำคัญในการดำเนินชีวิตคือ การรู้จักที่จะหยุดฟังเข็มทิศภายใน ในชีวิตที่ทุกอย่างเป็นของสำเร็จรูป ตั้งแต่กาแฟ บะหมี่ ไปจนถึงวิธีดำเนินชีวิต วิธีประสบความสำเร็จ วิธีบอกรักใครสักคน สิ่งที่ได้มาอย่างง่ายๆ ลวกๆ ผลที่ได้ก็ ตื้นๆ คร่าวๆ ตามมา
ชีวิตเป็นสิ่งลึกซึ้ง อ่อนโยน สิ่งดีที่สุดใจเราโหยหาอยู่ตรงหน้าเราตลอดเวลา แต่เราไม่เคยสัมผัส ใจเราถูกห่อหุ้มปิดบังไว้ด้วยความวุ่นวายภายนอกและภายใน
การฝึกให้เราว่องไวต่อความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง เริ่มจากการที่ตามรู้จิตใจของเราให้ได้ทันกับการเกิดขึ้นแต่ละขณะ ต้องใช้การฝึก หลายคนมักจะบอกว่าเป็นสิ่งที่น่าอึดอัด ที่ต้องมาตามรู้ร่างกายและจิตใจของตัวเอง สิ่งที่อยากจะบอกก็คือร่างกายและจิตใจนี่แหละ คือความจริงของชีวิต ตลอดเวลาเราหนีความจริงที่ว่าร่างกายและจิตใจของเราอยู่ในสภาพที่ถูกบีบคั้น เป็นทุกข์ มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด บังคับไม่ได้ ...
อยู่บ้านเบื่อก็ไปเที่ยว เที่ยวมากๆ เหนื่อย ทุกข์ ก็ต้องกลับมาพักที่บ้าน ...
ทำงานที่นี่เบื่อ ทุกข์ ก็เปลี่ยนงานใหม่ ....
อยู่กับแฟนคนนี้ เบื่อ ทุกข์ เปลี่ยนแฟนใหม่ ....
เราหนีอยู่อย่างนี้ตลอดทั้งชีวิต โดยไม่มีโอกาสหยุดพิจารณาว่า สาเหตุใหญ่ของความทุกข์เริ่มที่ใจ แล้วเราก็หนีที่จะไม่เผชิญหน้ากับมัน แล้วหากเกิดมันเป็นเรื่องที่เราหนี ไม่ได้ เช่น ปัญหา ของคนในครอบครัวเรา ในชีวิตเรา หรือโรคร้ายที่เกิดกับตัวเราที่เราหนีไม่ได้ เราจะทำอย่างไร
การฝึกตามรู้ร่างกายและจิตใจ ทำให้เราสามารถอยู่กับสิ่งที่เป็นทุกข์ โดยที่ใจเราไม่ทุกข์ได้ เหมือนเป็นแค่คนเฝ้ารู้ เฝ้าดูอยู่ห่างๆ เหมือนที่ดิฉันเล่าว่า ได้เห็นด้วยตัวเอง เมื่อความเจ็บปวดเกิดขึ้นบนร่างกาย แต่ไม่สามารถลากใจเราให้กระเพื่อมทุรนทุรายตามไปได้
จากหนังสือ เข็มทิศชีวิต โดยคุณ ฐิตินาถ ณ พัทลุง

วันอังคารที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ลิงน้อยกับกะปิ - เข็มทิศชีวิต

เวลาที่คนจะแกล้งลิงก็มักจะเอากะปิไปทาที่มือลิง เจ้าลิงเกลียดกะปิที่สุดในชีวิตก็จะเอามือมาสูดดม แล้วถูมือไปกับสิ่งต่างๆ จนเลือดไหลท่วมมือ ถามว่า สิ่งที่ทำให้ลิงบาดเจ็บจนเลือดไหลคือ กะปิ หรือความเกลียดกะปิในใจลิงลิงน้อยไม่เคยฝึกตามรู้จิตใจตนเอง มันจึงไม่รู้ว่า ตัวมันนั่นเองที่หยิบกะปิมาดมตลอดเวลา แล้วความเกลียด ความอยากผลักไสของมัน ก็ทำร้ายตัวเองอย่างแสนสาหัส เราอาจจะหัวเราะเยาะว่าลิงโง่ แต่เราทุกคนก็เคยเป็นเหมือนตัวดิฉัน เหมือนเจ้าลิงตัวน้อย ที่หยิบมีดมาแทงตัวเอง กำก้อนหนาม หยิบกะปิมาดม ทำร้ายตัวเองอยู่ทุกขณะโดยไม่รู้ตัวแล้วมนุษย์อย่างเราจะปล่อยให้ตัวเองเป็นเหมือนลิงที่จะหยิบกะปิมาดม กำก้อนหนาม หรือหยิบมีดมาทิ่มแทงตัวเองตลอดเวลา โดยที่ไม่คิดจะช่วยตัวเองบ้างหรือจากหนังสือ เข็มทิศชีวิต

วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

15 วิธีแก้กรรมทำให้รวย

1. ถือศีล 5 การ ถือศีล 5 เป็นประจำจะช่วยเสริมดวงชะตาและจิตใจให้ตั้งมั่นอยู่ในความดีงาม การทำดีและไม่เบียดเบียนใครถือเป็นการทำบุญกุศลที่ได้อานิสงส์ เป็นผลให้เกิดความโชคดี และแก้เคราะห์ลดกรรมได้
2. การถือศีล 8 จะช่วยเสริมดวงและแก้เคราะห์ได้เช่นเดียวกับการถือศีล 5 แต่การถือศีล 8 นั้นปฏิบัติได้ยากยิ่ง แต่เมื่อปฏิบัติได้สำเร็จจะได้กุศลแรงนักปฏิบัติแล้วยังช่วยเสริมดวงอำนาจ บารมีได้
3. กินเจ ก็เพื่อลดละชีวิตสัตว์ ซึ่งได้อานิสงส์ผลบุญสูงและควรปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ถ้าอธิษฐานไว้ว่า 7 วัน ก็ทำให้ครบ 7 วัน อาจตั้งจิตว่าจะทำทุกวันพระและทุกเดือน หรือปฏิบัติทุกเดือน เดือนละ 3 วัน หรือ 7 วัน เป็นต้น
4. ไหว้พระและถวายดอกไม้ ธูปเทียน รวมทั้งการปิดทองคำเปลวและเครื่องหอม ผลบุญนี้จะทำให้ชีวิตรุ่งเรือง มีความเจริญก้าวหน้า
5. ถวายน้ำมันตะเกียง เพื่อ ความรุ่งโรจน์โชติช่วงของชีวิต เช่นเดียวกับความสว่างของแสงตะเกียง ทำให้พ้นจากความมืดมิดทั้งการดำเนินชีวิต รวมทั้งปัญหาและความคิดที่สว่างไสวไม่อับจนหนทาง
6. ถวายสังฆทาน เป็นการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา โดยถวายสิ่งของจำเป็นแด่พระสงฆ์ อานิสงส์ผลบุญจะส่งให้ชีวิตหมดเคราะห์หมดโศก จะทำสิ่งใดก็ราบรื่นไม่ติดขัด พบแต่ความสำเร็จสมปรารถนา รวมทั้งมีความเป็นอยู่อุดมสมบูรณ์ ไม่ขัดสน
7. ไหว้พระ ไหว้บูชาเทพต่างๆ จะทำให้พบกับความสุข ความเจริญเกิดความสุขใจว่ามีที่พึ่งพิง ยึดเหนี่ยว นำมาซึ่งกำลังใจในการต่อสู้ชีวิตต่อไปและรู้สึกเสมอว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คอยคุ้มครองเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง
8. ทำบุญปล่อยสัตว์ เป็นการไม่เบียดเบียนชีวิตผู้อื่น แต่ถือว่าได้บุญแรง จะต้องทำด้วยความตั้งใจจริง เช่น การไปซื้อสัตว์ที่กำลังจะถูกฆ่าไปปล่อย ไถ่ชีวิตวัวควายถวายวัดเพื่อมอบให้ชาวนานำไปใช้ประโยชน์ ซื้อปลาในตลาดที่จะถูกฆ่าไปปล่อยน้ำ ผลบุญนี้ยังผลให้หมดทุกข์ หมดภัย และพบความสุขความเจริญในชีวิต
9. ทำบุญ ให้ทาน เป็น การรู้จักเสียสละตนเองและแบ่งปันให้ผู้อื่น ซึ่งผลบุญจะเกิดขึ้นได้นั้นต้องมีจิตใจยินดีในการทำบุญให้ทานด้วย ไม่ว่าจะเป็นการบำรุงพุทธศาสนา หรือการให้ทานเกื้อกูลคนยากไร้ ล้วนแล้วแต่เป็นบุญส่งเสริมให้ชีวิตมีโชค มีทรัพย์ และมากด้วยบารมี
10. ทำทานแก่คนยากไร้ เป็น การทำบุญที่มาจากจิตใจอันไม่ยึดติดมีความไม่โลภ ผลบุญจึงหนุนนำให้มีแต่ความราบรื่น ยามมีเรื่องติดขัดก็จะมีผู้มาช่วยเหลือค้ำจุน ยามมีเคราะห์ภัยก็จะแคล้วคลาด เพราะแรงอนุโมทนาจิตจากผู้ยากไร้ที่ได้รับสิ่งของจากเรานั่นเอง
11. ทำบุญโลงศพ ซื้อโลงศพบริจาคศพอนาถาไร้ญาติ จะได้อานิสงส์แรงยิ่งนัก การทำบุญเช่นนี้จะช่วยเสริมดวงชะตาให้แข็งแกร่ง สามารถต้านเคราะห์ภัยหนักต่างๆ และผ่อนหนักเป็นเบาได้
12. พิมพ์หนังสือธรรมะแจก จัดพิมพ์เองหรือร่วมบริจาคสมทบทุนการพิมพ์กับผู้อื่นก็ได้ เป็นการเสริมดวงให้มีวาสนาบารมี เพื่อให้ปัญญาสว่าง หมดทุกข์ หมดโศก ไม่มีเคราะห์ร้ายมากล้ำกราย
13. บริจาคค่าน้ำ ค่าไฟ จะช่วยให้ชีวิตราบรื่น หมดทุกข์ หมดโศก ประสบแต่ความโชคดี
14. ซื้อข้าวสารถวายวัด เลี้ยงอาหารเด็กกำพร้าตามสถานสงเคราะห์เป็นการสั่งสมบุญกุศล เพื่อให้ชีวิตมั่งคั่ง อุดมสมบูรณ์และเพียบพร้อมด้วยบารมี
15. การตักบาตรร่วมขันกับผู้อื่นหรือทำบุญร่วมกับผู้อื่น ไม่ ว่าจะทำบุญด้วยการบริจาคทรัพย์หรือโดยทางอื่น จะส่งผลให้เนื้อคู่ดูดี ดวงชะตาแข็งแกร่ง เกื้อกูลซึ่งกันและกัน และจะได้แต่เพื่อนที่ดีในชาตินี้
ขอบคุณ sanook.com