กลโกงที่ 1 เพื่อนคนหนึ่ง ไปใช้บริการ Fitness เขาเอากระเป๋าเสื้อผ้า รวมทั้งกระเป๋าเงินใส่ไว้ในล็อกเกอร์ เมื่อออกกำลังการเสร็จ กลับมาที่ล็อกเกอร์ ก็พบว่า ล็อกเกอร์เปิดอยู่ เขาคิดว่า ' เอ ก่อนออกไปก็ดู ว่าปิดดีแล้วนี่หน่า ' เพื่อนรีบใส่เสื้อผ้าแล้วรีบเช็คดูของในกระเป๋าเงิน เงินก็อยู่ครบ บัตรเครดิตมีกี่ใบก็อยู่ครบ เพื่อนก็ไม่คิดอะไรมาก คิดว่าคงลืมปิดล็อกเกอร์เองจริงๆ ถ้ามีคนมางัดมันคงเอาเงินเอาบัตรไปแล้ว หลายอาทิตย์ต่อมา เมื่อ Statement บัตรเครดิตมาถึง ปรากฎยอดใช้จ่าย แสนสี่เท่านั้นเอง หา แสนสี่ !!! เพื่อนรีบโทรหาแบงก์ทันทีแล้วก็โวยวายทันที่ว่า เกิดมาไม่เคยคิดฝันจะใช้จ่ายได้ขนาดนั้น ทางแบงก์ก็เช็คดูก็เห็นว่า System ไม่มีอะไรผิด มียอดใช้จ่ายเข้ามาจริงๆ แล้วก็บอกให้เพื่อนเช็คดูว่าบัตรโดนขโมยหรือเปล่า เพื่อนก็บอกสวนไปเลยว่า เปล่า บัตรยังอยู่เลย ว่าแล้วก็เปิดกระเป๋าควักบัตรมาดู นั่นเลย บัตรที่บอกว่าอยู่มันบัตรคนอื่นนี่หว่า บัตรแบงก์เดียวกันเลย หน้าตาเหมือนกันเลย แต่มันเป็นของคนอื่น แล้วก็หมดอายุแล้วด้วย ไอ้ขโมยมันเปิดล็อกเกอร์ แล้วก็เอาบัตรหมดอายุมาไว้แทน แล้วก็เอาบัตรของเพื่อนไปใช้ และในเมื่อเพื่อนก็ไม่ได้แจ้งอายัติบัตรกับทางแบงก์ แบงก์ก็ไม่บันทึกเข้าไปในระบบบัตรหาย เวลาขโมยไปรูดที่ไหน เดี๋ยวนี้ก็รู้กันว่าร้านค้า เวลาเช็คลายเซ็นก็ไม่ดูมาก เซ็นคล้ายๆ ก็ผ่านแล้ว ขโมยมันค่อยๆรูดวันละนิดวันละหน่อย ( มีเวลานานนี่ ตั้งหลายวัน บาง Case หลายอาทิตย์ กว่า Statement จะมา) รวมกันหลายวันก็เป็นแสนได้ แบงก์ก็แจ้งว่าในข้อตกลงของบัตรเครดิต ถ้ามีการใช้บัตรขโมย โดยเจ้าของบัตรไม่ได้แจ้งอายัติบัตร เจ้าของบัตรจะต้องรับผิดชอบชดใช้ยอดนั้นๆ
บทเรียนจากกรณีนี้ ไอ้ที่บอกว่าให้เช็คบัตรดูให้ดีมันของแน่อยู่แล้ว ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำเพิ่มเติม
1. อย่าถือบัตรเครดิตหลายๆ ใบ เลือกเอาเจ้าที่คิดว่าบริการดีที่สุด 1-2 ใบ แล้วยกเลิกบัตรที่เหลือไปซะ ถึงขโมยมันจะเปลี่ยนบัตรไป เมื่อคุณเอาบัตรมาใช้คราวต่อไป ( อาจจะเป็นวันเดียวกัน หรือวันถัดไป) คุณก็จะรู้ว่าบัตรโดนขโมยไป ถ้าถือบัตรหลายใบขโมยมันแค่ดูที่รอยรูด ก็รู้ว่าบัตรใบนั้นใช้บ่อยหรือไม่ มันจะเลือกใบที่ไม่มีรอยรูด เพราะรู้ว่าคุณไม่ค่อยได้สนใจใช้
2. พยายามทำบัตรเครดิตของตัวให้มีข้อสังเกตพิเศษ ไม่เหมือนใคร เช่น Photo Card มีรูปตัวเอง รูปหมา รูปแมวบนบัตร บัตรมีรอยบิ่นนิดหน่อย บัตรมี sticker ส่วนตัวแปะอยู่ ( เดี๋ยวอ่าน กรณีที่ 2 จะเห็นว่ามีประโยชน์)
3. ในเมืองไทย ถ้าขโมยได้บัตรเครดิตไป โดยที่เจ้าของบัตรรู้และแจ้งอายัติ จะเอาไปใช้ในเมืองไทยไม่ค่อยได้ ขโมยจึงต้องการช่วงเวลาก่อนที่เจ้าของบัตรจะรู้ตัวให้นานที่สุด และปัจจุบันเครือข่ายบัตรเครดิตปลอมมันเป็นพวก Inter มัน copy ข้อมูลบัตรไปให้พวกมันในประเทศอื่นช่วยกันใช้ได้ด้วย
กลโกงที่ 2 เพื่อนอีกคนไปกินอาหารในภัตตาคาร แล้วก็จ่ายค่าอาหารด้วยบัตรเครดิต โดยมอบให้บ๋อยเอาไปรูด เมื่อบ๋อยเอาบัตรเครดิตมาคืน โดยปกติเพื่อนก็จะเก็บเข้ากระเป๋าเลยไม่เช็คมาก แต่วันนั้นโชคดี เพื่อนสังเกตว่า บัตรที่บ๋อยคืนมามันเป็นบัตรของคนอื่น ที่หน้าตาของบัตรเหมือนกันเดะ แต่หมดอายุแล้ว ตอนแรกเพื่อนก็ไม่คิดอะไรมาก คิดว่าเป็นความผิดพลาดของ Cashier จึงเรียกบ๋อยมาบอกว่าหยิบบัตรผิดมาให้ แต่มันน่าสังเกตุว่าบ๋อยไม่มีท่าที่ประหลาดใจอะไรเลย มันหยิบบัตร ขอโทษ แล้วเดินกลับไปหา Cashier ทำมือโบกบัตรให้ Cashier ดู Cashier ก็ไม่ทำท่าประหลาดใจใดๆ รีบหยิบบัตรของเพื่อน เปลี่ยนให้แบบเฉยเมย ไม่พูดอะไรกันสักคำ บ๋อยก็เอาบัตรของเพื่อนมาคืนให้แล้วขอโทษ ใช่แล้ว มันเป็นพวกขโมยบัตรเครดิต ถ้าเราไม่เช็คบัตรแล้วกลับไป มันอาจมีเวลา ถึง 24 ชั่วโมงในการใช้บัตรของคุณ ก่อนที่คุณจะใช้บัตรครั้งต่อไปแล้วพบว่าวงเงินเต็ม
บทเรียนจากกรณีนี้ 1. เช็คบัตรเครดิตที่คืนมาทุกครั้ง แม้ว่าบัตรจะพ้นสายตาของเราไปเพียงแค่แวบเดียวก็ตาม 2. พยายามทำบัตรเครดิตของตัวให้มีข้อสังเกตพิเศษ ไม่เหมือนใคร เช่น Photo Card มีรูปตัวเอง รูปหมา รูปแมวบนบัตร บัตรมีรอยบิ่นนิดหน่อย , บัตรมี sticker ส่วนตัวแปะอยู่