วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ล้างพิษลำไส้ใหญ่ กากใยอาหารจากธรรมชาติช่วยคุณได้

ธรรมชาติได้สร้างให้ร่างกายมนุษย์มีระบบล้างพิษตามธรรมชาติที่ดีที่สุด


ปัจจุบันคำว่า ล้างพิษ กลายเป็นหนึ่งในหัวข้อที่หลายคนติดตามและสนใจเป็นพิเศษ ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากสภาพแวดล้อม ทำให้พฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงไปจึงพยายามหาแนวทางที่จะคืนความสดชื่นและการมีสุขภาพที่ดีให้แก่ร่างกายให้เร็วที่สุด อันเป็นที่มาของกระแสการล้างพิษ ที่แบ่งออกเป็นวิธีล้างพิษแบบธรรมชาติโดยการกินผักและผลไม้เพื่อให้ได้กากใยมากๆ และวิธีล้างพิษแบบฝืนธรรมชาติอย่างการกินยาระบายหรือสวนล้างลำไส้ใหญ่ ซึ่งเป็นวิธีที่ยังไม่มีการยืนยันทางการแพทย์ว่าปลอดภัย และได้ประโยชน์ต่อสุขภาพจริงๆ

จากกระบวนการทำงานของตับ ไตและลำไส้ โดยเฉพาะลำไส้ใหญ่ที่มีหน้าที่กำจัดของเสียจากอาหารที่เรากินเข้าไปด้วยการขับถ่ายอุจจาระทุกวัน และสิ่งสำคัญที่จะเสริมให้การล้างพิษตามธรรมชาติของลำไส้ใหญ่มีประสิทธิภาพคือ เส้นใยอาหาร ที่ร่างกายได้รับจากการกินอาหารประเภทข้าวกล้อง ธัญพืช โฮลวีท ข้าวโอ๊ต ถั่ว ผักและผลไม้ เป็นต้น

แต่ในความเป็นจริง หลายคนอาจกินไม่ได้ตามที่ร่างกายต้องการทุกวัน ทำให้เกิดปัญหาท้องผูก เกิดของเสียหมักหมมในลำไส้ใหญ่ และถ้าเป็นเรื้อรัง ก็เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก ทั้งนี้เพื่อความสะดวกและรวดเร็ว หลายคนพึ่งวิธีการกินยาระบายและการสวนล้างลำไส้ใหญ่ ซึ่งอาจจะเป็นการทำลายจุลินทรีย์ชนิดดีที่อยู่ในผนังลำไส้ใหญ่ ที่ทำหน้าที่คุ้มครองและช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ชนิดที่ก่อให้เกิดโรค ดังนั้นหากสวนล้างลำไส้ใหญ่บ่อยเกินไปเท่ากับว่า เรากำจัดจุลินทรีย์ชนิดดีนั้นออกไปด้วย ผลก็คือ จะทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อง่ายขึ้น และทำให้สูญเสียสมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย สรุปว่าอาจเป็นทางเลือกที่เร็วและเห็นผลทันที แต่ไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพในระยะยาว

ดังนั้นการล้างพิษด้วยการกินเส้นใยอาหารจากผักและผลไม้ หรือสำหรับคนที่มีปัญหาการกินผักและผลไม้ อาจเลือกผลิตภัณฑ์เส้นใยอาหารธรรมชาติที่มีการแปรรูปและสะดวกต่อการกิน ยกตัวอย่างเช่น เส้นใยอาหารที่ได้จากเมล็ดและเปลือกแพลนตาโก้ ในรูปแกรนูลซึ่งสามารถพองตัวในลำไส้ใหญ่ได้ถึง 7 เท่า เพิ่มปริมาณกากอาหารเป็นก้อนในลำไส้ใหญ่ ทำให้ลำไส้ใหญ่เคลื่อนไหว เพิ่มประสิทธิภาพในการทำความสะอาดลำไส้ใหญ่ ลดปริมาณสิ่งหมักหมมในลำไส้ใหญ่ เป็นการล้างพิษลำไส้ใหญ่โดยวิธีธรรมชาติ จะส่งผลดีต่อสุขภาพองค์รวมมากกว่า เพราะได้เส้นใยอาหารที่มีประโยชน์ถึง 2 ชนิด นั่นคือ เส้นใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำ (water insoluble fiber) และเส้นใยอาหารที่ละลายน้ำ (water soluble fiber) ซึ่งควรได้รับอัตราส่วนที่เหมาะสมคือ 60:40 เนื่องจาก...

เส้นใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำ จะพองตัวและอุ้มน้ำไว้ได้มากกว่าปริมาตรของตัวเองหลายเท่า ช่วยเพิ่มปริมาตรกากอาหารในลำไส้ ไม่ให้อุจจาระแห้งและแข็ง ทำให้ขับถ่ายได้ง่ายและสบายขึ้น ไม่มีสิ่งหมักหมมค้างในลำไส้ใหญ่

เส้นใยอาหารที่ละลายน้ำ จะถูกย่อยสลายโดยแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่อย่างช้าๆ ทำให้เกิดกรดไขมันชนิดสายสั้น (Short-chain fatty acid) ได้แก่ อะซิเตท โพรพิโอเนท และบิวทีเรท ซึ่งสารบิวทีเรทจะทำให้ค่า pH ในลำไส้ลดลงต่ำ มีผลในการยับยั้งการเจริญเติบโตของ จุลินทรีย์ชนิดที่ก่อให้เกิดโรคและลดโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่

สรุปแล้ว การล้างพิษที่ดีที่สุด คือ การล้างพิษตามธรรมชาติจากการกินอาหารที่สด ปรุงสะอาดมีกากใยสูงและมีคุณค่าต่อร่างกาย ควบคู่กับการดื่มน้ำ 6-8 แก้วต่อวัน การออกกำลังกาย การนอนหลับพักผ่อนและทำจิตใจแจ่มใส และอาจใช้ผลิตภัณฑ์เส้นใยอาหารธรรมชาติเสริม ในกรณีที่รับประทานอาหารที่มีเส้นใยน้อย

ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

สวยใสจากภายใน ด้วย 4 อาหารผิว

Antiaging Medicine หรือ การรับประทานอาหารที่มีสารต่อต้านริ้วรอย ชะลอวัย กำลังมาแรง


Antiaging Medicine หรือ การรับประทานอาหารที่มีสารต่อต้านริ้วรอย ชะลอวัย กำลังมาแรง ทั้งในประเทศอเมริกา ยุโรป และเอเชีย ส่วนใหญ่สารอาหาร ดังกล่าวจะคัดสรร สกัดจากวัตถุดิบธรรมชาติ การเลือกรับประทานผัก ผลไม้ และอาหารเสริม ที่มีส่วนผสมของสารต่อต้านความชราจึงเป็นอีกทางเลือกของความสวยที่เราสามารถทำได้ด้วยตัวเอง ไม่มีคำว่าช้าเกินไป แต่ใครเริ่มเร็วกว่าก็ยิ่งยืดความอ่อนเยาว์ให้ตัวเองได้ยาวนานกว่า และนี่คือสารอาหารที่จะช่วยคงความงามแห่งผิวพรรณจากภายใน สู่ภายนอก ที่เราขอแนะนำ
Niacin / Vitamin B3ไนอาซินหรือวิตามินบี 3 เป็นวิตามินตัวเดียวที่ร่างกายสังเคราะห์ได้จากกรดอะมิโน ช่วยบำรุงสมองและประสาท รักษาสุขภาพของผิวหนัง ลิ้น และเนื้อเยื่อของระบบย่อยอาหาร จำเป็นสำหรับการสังเคราะห์ฮอร์โมนเพศ และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ไนอาซินมีในอาหารทั่วไปที่ได้จากสัตว์และพืช แหล่งที่มีมากคือ เนื้อสัตว์, เนื้อปลา, ถั่ว, ข้าว, เครื่องในสัตว์ แหล่งที่มีปานกลางได้แก่ มันฝรั่ง, ธัญพืช, แหล่งที่มีน้อยคือ น้ำนม, ไข่, ผัก และผลไม้

วิตามินเอ วิตามินเอ มีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ เรตินอยด์ (Retinoids) และแคโรทีนอยด์ (Carotenoids) วิตามินเอเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งจะช่วยในเรื่องการป้องกันการเสื่อมอายุของผิวหนัง การซ่อมแซมผิวหนังที่เสียไป นอกจากนี้วิตามินเอยังมีความสำคัญต่อกระบวนการเติบโตของผิวหนัง และเป็นสารสำคัญที่ช่วยทำให้ผิวหนังมีการทำงานอย่างปกติ นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันมะเร็งและเสริมสุขภาพตา แหล่งอาหารที่พบคือ ไข่, นม, เนย, ปลาแซลมอน, ปลา Halibut, ผักใบเขียว เช่น บร็อกโคลี, ผักโขม, แอสพารากัส, มะละกอ, แคนตาลูป, มะเขือเทศ, ฟักทอง

วิตามินบี-คอมเพล็กซ์ วิตามินในกลุ่มนี้ มีความสำคัญต่อสุขภาพผิวหนังเป็นอย่างมาก ช่วยในกระบวนการผลิตพลังงานภายในเซลล์ เช่น วิตามินบี 2 ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ วิตามินบี 3 ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และทำให้ผิวหนังไม่ซีด วิตามินบี 12 ช่วยในการแบ่งเซลล์ วิตามินบี 9 ช่วยในเรื่องการแบ่งและเจริญเติบโตของเซลล์ นอกจากนี้
กรดโฟลิกยังช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง แหล่งอาหารที่พบมากคือ บร็อกโคลี, มันฝรั่ง, เห็ด, แครอท, มะเขือเทศ, กะหล่ำปลี, ผักโขม, กล้วย, แอปเปิ้ล, มะเขือ, ผลไม้ในกลุ่มส้ม, ไข่, เนื้อไก่, เนื้อปลาแซลมอน และปลาทูน่า

Vitamin C วิตามินซีเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยในการสังเคราะห์และช่วยกระตุ้น การสร้างคอลลาเจน ทั้งนี้คอลลาเจนจะไม่สามารถทำงานได้หากขาดวิตามินซี นอกจากนี้วิตามินซียังมีส่วนช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว และชะลอการเกิดริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ การใส่ใจดูแลตัวเองด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่สม่ำเสมอ นับเป็นหนึ่งในเคล็ดลับความงามที่พูดง่ายแต่ทำยาก แต่ WP ก็เชื่อว่า ถ้าเรามีความตั้งใจจริงก็สามารถสร้างสรรค์ตัวเองให้ดูสวยอ่อนเยาว์ได้โดยไม่ต้องพึ่งเทคนิคศัลยกรรม ยิ่งโดยเฉพาะในยุคนี้ มีอาหารเสริมวิตามินรสชาติอร่อยมากมายมาให้เลือกเป็นทางลัดด้วยแล้ว ยิ่งสบาย งั้นเรามาเริ่มกแนและดื่มเพื่อผิวพรรณกันตั้งแต่นี้เลย...ดีไหม

ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Women Plus